
วอนหยุดตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี อุปสรรคสำคัญต่อการ 'ยุติเอดส์' ทำคนไม่กล้าตรวจหาเชื้อ-รักษา ทั่วโลกระดมหนทางเปลี่ยนทัศนคติ8 มีนาคม 2565
ไทยผนึก UNAIDS จัดสัมมนาผู้บริหารระดับสูง มุ่งเป้าลดปัญหา "ความเหลื่อมล้ำ" และ "ยุติเอดส์" ภายในปี 2573 เผยไทยพร้อมสนับสนุนและขับเคลื่อนการขจัดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีในทุกรูปแบบ
กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) เปิดการประชุมสัมมนาผู้บริหารระดับสูง ในหัวข้อ “Ending AIDS: Zero Discrimination, One World” เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2565 เนื่องในวันรณรงค์สากลเพื่อยุติการเลือกปฏิบัติ Zero Discrimination Day ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้จะมีการรณรงค์ต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังพบปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติ ทั้งที่บ้าน สถานที่ทำงาน โรงเรียน สถานบริการด้านสุขภาพ หรือแม้แต่ในด้านกฎหมาย จึงทำให้คนไม่กล้าเข้ารับการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี และบริการป้องกันและการรักษาที่จัดไว้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการยุติเอดส์
อย่างไรก็ตาม การที่จะลดการเลือกปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่หยั่งรากลึกในสังคมมาเป็นเวลานาน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงแนวทางและแนวปฏิบัติ รวมถึงกฎหมายต่างๆ ในการเข้าถึงบริการเอชไอวี จึงเป็นเรื่องท้าทายของประเทศสมาชิกทั่วโลกที่จะต้องเร่งดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรม
นายอนุทิน กล่าวว่า ในวาระที่ประเทศไทยเป็นประธานคณะกรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS Programme Coordinating Board: PCB) ปี 2565 ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายการยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยการสานพลังภาคีเครือข่ายประชาคมโลก
"การสัมมนานี้ ประชาคมโลกทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และภาควิชาการ จะร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์การทำงาน พร้อมกำหนดประเด็นปัญหาสำคัญที่นำมาแก้ไข ยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายและเจตนารมณ์ในการลดความเหลื่อมล้ำและยุติโรคเอดส์ให้ได้ภายในปี 2573" นายอนุทิน กล่าว
ด้าน นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเพื่อยุติเอดส์ภายในปี 2573 ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่า ใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เข้าถึงและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร 2. การเสริมสร้างความร่วมมือ แบ่งปันและสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี องค์ความรู้ และงบประมาณ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานต่อโรคเอดส์ในทุกระดับ
3. เดินหน้าดำเนินงานยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติเพื่อยุติเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามพันธสัญญาทางการเมืองภายใต้ยุทธศาสตร์เอดส์โลก ปี 2021-2026 และปฏิญญาทางการเมืองด้านเอชไอวี/เอดส์ ปี 2021 4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ตลอดจนชุมชน ในการออกแบบ กำหนดรูปแบบ เพื่อป้องกันและให้บริการด้านเอชไอวี/เอดส์ นำไปสู่การยุติการตีตราที่เกี่ยวกับเอชไอวีได้
อนึ่ง ประเทศไทยเป็น 1 ใน 29 ประเทศที่เข้าร่วม Global Partnership for Action พร้อมสนับสนุนขับเคลื่อนการยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีในทุกรูปแบบ โดยที่ผ่านมารัฐบาล ภาคประชาสังคม และชุมชน ได้ร่วมกันพัฒนาแผนปฏิบัติการความร่วมมือเพื่อยุติการตีตราที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี (Partnership Action Plan to End HIV-related Stigma) รวมทั้งระดมงบประมาณสนับสนุนและทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินงานให้เหมาะสมสำหรับแต่ละพื้นที่