
ผู้หญิงไทยมากกว่าวันละ 7 คน ถูกละเมิดทางเพศ-กระทำรุนแรง ส่งเสียงเร่งรัดหนุนความเสมอภาค บนหลัก 'ชุมชนนำ' การขับเคลื่อน9 มีนาคม 2565
วันสตรีสากล เปิดตัวเลขหญิงไทยถูกละเมิดทางเพศ-กระทำความรุนแรง มากกว่า 7 คนต่อวัน ต้องเข้าบำบัดรักษา-แจ้งความกว่า 30,000 คนต่อปี สูงติดอันดับโลก ตัวแทนหญิงชายแดนใต้ ชูการทำงานบนหลัก “ชุมชนนำ” ดึงทุกภาคส่วนมาเป็นเจ้าของเรื่อง-ช่วยกันขับเคลื่อน
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสถิติความรุนแรงต่อผู้หญิงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยพบว่าผู้หญิงถูกละเมิดทางเพศ ถูกกระทำความรุนแรงทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่น้อยกว่า 7 คนต่อวัน และมีสถิติผู้หญิงที่เข้ารับการบำบัดรักษา แจ้งความร้องทุกข์ประมาณปีละ 30,000 คน
ขณะที่รายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) พบว่า กว่า 87% ของคดีการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ไม่เคยถูกรายงาน และจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัวของไทยระดับประเทศ พบความชุกของความรุนแรงต่อผู้หญิงและบุคคลในครอบครัว เพิ่มขึ้นจาก 34.6% ในปี 2560 เป็น 42.2% ในปี 2563 โดยประเภทความรุนแรงสูงสุดคือ ความรุนแรงทางด้านจิตใจ คิดเป็น 32.3% รองลงมาคือความรุนแรงทางร่างกาย 9.9% และความรุนแรงทางเพศ 4.5%
นางภรณี กล่าวว่า เนื่องในวันสตรีสากล 8 มี.ค.นี้ สสส.จึงหวังว่าทุกภาคส่วนจะร่วมกันลดและขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ อาทิ ความรุนแรงในครอบครัว การข่มขืน ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ที่ระบุให้การขจัดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิง ทั้งในที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว เป็นเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ ต้องให้ความสำคัญและทำให้บรรลุเป้าหมาย
ด้าน น.ส.วรรณกนก เปาะอิแตดาโอะ นายกาสมคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ ในฐานะแกนนำกลุ่มลูกเหรียง กล่าวว่า ตนเคยเป็นเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ และต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัว 4 คนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ทั้งยังเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งยังมีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
น.ส.วรรณกนก กล่าวว่า ผู้หญิงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ต้องเผชิญ 3 ปัญหา ได้แก่ 1. การถูกลิดรอนสิทธิ ถูกจำกัดสิทธิต่างๆ เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมระดับกลไกของรัฐ หรือระดับการเมืองท้องถิ่น ในการช่วยตัดสินใจ ช่วยแก้ปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่าควรเป็นเรื่องของผู้ชาย 2. สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความรุนแรงในครอบครัวสูง การหย่าร้างเพิ่มขึ้น กรณีเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัว คนนอกไม่ควรยุ่ง ขณะที่มีผู้หญิงจำนวนมากกล้าหาญไปขอความยุติธรรมจากหน่วยงาน แต่จะถูกบอกว่าให้อดทน
3. การไม่ยอมรับให้ผู้หญิงเป็นผู้นำ ทั้งที่ในพื้นที่ผู้ชายมีจำนวนน้อยลงจากการเสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบ หลบหนีกระบวนการยุติธรรม หรือเจอคดียาเสพติด ทำให้สัดส่วนจำนวนผู้หญิงมีมากกว่าผู้ชาย แต่ในระดับการตัดสินใจหรือกลไกต่างๆ กลับให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมเพียง 0.05% สะท้อนการให้โอกาสที่น้อยมาก
น.ส.วรรณกนก กล่าวว่า กลุ่มลูกเหรียงเป็นองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งก่อตั้งมาเข้าปีที่ 20 โดยได้รับการสนับสนุนจาก สสส. ในการทำงานกับผู้หญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้นำที่เป็นผู้หญิง และเด็กผู้หญิง เพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีให้ได้มากที่สุด บนพื้นฐานที่เชื่อว่าเมื่อมีการศึกษาจะมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น โดยปัจจุบันพบสัดส่วนผู้หญิงในระบบการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สูงกว่าผู้ชาย
ขณะเดียวกันยังได้ทำงานร่วมกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงมุสลิม เช่น การเสริมศักยภาพองค์ความรู้ ผลักดันให้เป็นแกนนำ เพื่อไปอยู่ในกลไกต่างๆ สนับสนุนให้ผู้หญิงลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งกลุ่มลูกเหรียงได้ทำงานพิสูจน์ตัวเอง โดยช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงอย่างจริงจังต่อเนื่อง รวมได้มากกว่า 6 หมื่นคน ทั้งเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบาก ผู้หญิงที่หย่าร้าง การส่งเสริมให้มีอาชีพ และการเยียวยาฟื้นฟูผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความรุนแรงทางเพศ โดยแต่ละเดือนกลุ่มลูกเหรียงจะมีเคสให้ดูแลติดตามกว่า 100 คน
นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนงานสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัวในพื้นที่ชายแดนใต้ใน จ.ยะลา ร่วมกับ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว (สำนัก 4) สสส. อย่างต่อเนื่อง มุ่งเป้าให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่มีสุขภาวะที่ดี เปิดโอกาสให้ชุมชนสร้างทีมทำงานเพื่อเด็กและเยาวชน เสริมพลัง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ครอบครัว รวมถึงหนุนเสริมกิจกรรมที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะ ตามแนวทางของภารกิจบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อสร้างระบบนิเวศน์รอบตัวเด็กให้เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะ
ทั้งนี้ ได้ใช้หลัก “ชุมชนนำ” ดึงทุกภาคส่วนในชุมชนเข้ามาเป็นเจ้าของเรื่อง ช่วยกันขับเคลื่อน จนเกิดผลลัพธ์ที่ดีแก่เด็กในพื้นที่ ทั้งเรื่องการสร้างความตระหนักเรื่องการแต่งงานของเด็กหญิง การปกป้องเด็กจากอันตราย การส่งเสริมให้เด็กได้รับวัคซีน การส่งเสริมพัฒนาการเด็กตามช่วงวัย ส่งเสริมการอ่านนิทานเพื่อพัฒนาสมอง และสร้างสัมพันธภาพในครอบครัว สะท้อนบทบาทการขับเคลื่อนจากพลังสตรีอย่างแท้จริงในพื้นที่ชายแดนใต้
“พวกเราจึงจัดตั้งกลุ่มผู้หญิงที่ให้คำปรึกษา และช่วยเหลือสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเข้าถึงความยุติธรรม เพราะเราไม่อยากเป็นแค่องค์ประกอบ ที่ผ่านมาคนชอบบอกว่าก็มีตัวแทนผู้หญิงแล้ว แต่ในความจริงเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เราต้องการมีตัวแทนผู้หญิงในสัดส่วนที่มากขึ้นเพื่อที่จะตัดสินใจร่วมกันได้ โดยเคารพความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ใช่เป็นเพียงไม้ประดับ ไม่ได้เป็นตัวจริง การทำงานเป็นผู้นำสตรีในพื้นที่เป็นสิ่งที่ยาก กว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับได้” น.ส.วรรณกนก กล่าว