ทำชุมชนให้ปลอดพาราควอต ด้วย ‘ธรรมนูญชุมชน
(เรื่องเล่าจากพื้นที่)... บัณฑิต มั่นคง
หัวใจสำคัญในหมวดที่ ๑๔ ของธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ ได้วางเจตนารมณ์ให้ทุกชุมชนท้องถิ่นได้ใช้ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่เป็นเครื่องมือกำหนดทิศทางหรือแนวทางปฏิบัติ
อันจะนำไปสู่ระบบสุขภาพที่พึงประสงค์สามารถแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพอย่างเหมาะสมและทันการณ์
เครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดลำพูน จึงเห็นความสำคัญของการจัดทำข้อตกลงร่วมหรือกติกาชุมชน ที่เรียกว่า “ธรรมนูญชุมชน” มาใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะในประเด็น “ความมั่นคงด้านอาหารในระบบเกษตรอินทรีย์” ที่ถือว่ามีรูปธรรมความสำเร็จมากมาย ทั้งการเปลี่ยนจังหวัดลำพูนเป็นเมืองเกษตรสีเขียว (Green Agricultural City) ตามยุทธศาสตร์จังหวัดและเป็นเมืองเกษตรปลอดภัย (Safe Agricultural City) โดยมีเครือข่ายเกษตรกรรมลำพูน ทำหน้าที่เชื่อมร้อยและมีพื้นที่รูปธรรมในระดับชุมชน อีกไม่ต่ำกว่า ๓๐ แห่ง ที่นำธรรมนูญชุมชนไปเป็นกรอบการทำงานร่วมกัน
ชุมชนห้วยโป่งสามัคคี
ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ คือพื้นที่ต้นแบบของจังหวัดลำพูนที่นำเอาธรรมนูญชุมชนไปสร้างกติกาในการแก้ปัญหาเกษตรอินทรีย์
ลดการใช้สารเคมีและสร้างสุขภาพของทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
เดิมผู้คนในชุมชนนี้ทำการเกษตรแบบเคมีมาโดยตลอด แต่ละครอบครัวใช้เงินถึง ๒๕,๓๐๘ บาทต่อปีเพื่อซื้อสารเคมีทางการเกษตร กระทั่งสภาผู้นำชุมชนร่วมกับ รพ.สต.แม่ตืน ได้ร่วมกันลงตรวจสุขภาพชาวบ้านห้วยโป่งสามัคคี จากการสุ่มตรวจเลือดกลุ่มตัวอย่าง ๑๕๐ คน เป็นนักเรียน ๕๐ คน และชาวบ้าน ๑๐๐ คน
ปรากฏว่าพบสารเคมีตกค้างอยู่ในระดับเสี่ยงและไม่ปลอดภัยถึง ๑๔๖ ราย มีผู้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยเพียง ๔ คนเท่านั้นเอง ทั้งที่กลุ่มนักเรียนไม่ใช่กลุ่มที่ต้องสัมผัสสารเคมีโดยตรง แสดงว่าชาวบ้านได้รับสารเคมีผ่านการบริโภคด้วย
สาเหตุหลักมาจากการใช้พาราควอตในการทำการเกษตร
ถึงแม้พาราควอตจะไม่ทำลายพืชหลักก็จริง
แต่ยังมีสารพิษตกค้างอยู่ในพืช ผัก ผลไม้ เมื่อชาวบ้านเก็บเกี่ยวส่วนหนึ่งนำไปขาย
อีกส่วนหนึ่งนำมาบริโภคภายในครัวเรือน จึงสะสมอยู่ในร่างกาย
ซ้ำร้ายสารเคมีบางส่วนยังซึมลงสู่ดินและไหลลงสู่แม่น้ำ
เหตุนี้จึงทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีอาการเจ็บป่วยจากพิษของพาราควอตที่สะสมอยู่ในร่างกาย
เช่น ไม่สบาย หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก คันตามเนื้อตัว นอนไม่หลับ
และเป็นมะเร็งจนถึงขันเสียชีวิต ซึ่งพบว่าชาวบ้านที่อายุประมาณ ๔๐–๕๐ ปี มักจะเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
ด้วยผลกระทบนี้
สภาผู้นำชุมชนจึงมีการปรึกษาหารือและพูดคุยกันอย่างจริงจังเพื่อ หามติของคนในชุมชนในการเลิกใช้สารเคมีพาราควอตในการเกษตร
ทั้งระดมความคิดเห็น ร่วมกันหาทางออกและสร้างการมีส่วนร่วม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สารเคมีและการบริโภคที่ไม่เหมาะสมแก่การดำรงชีวิตประจำวัน
อาทิมีข้อตกลงร่วมกันดังนี้
๑. ไม่ใช้สารเคมีทางการเกษตรในเขตชุมชน
งดใช้สารเคมีในการทำการเกษตรอย่างเด็ดขาด
๒. ห้ามติดป้ายโฆษณาสินค้าที่เป็นสารเคมีทางการเกษตรอย่างเด็ดขาด
เจอที่ไหนให้ชาวบ้านฉีกทิ้งได้เลย
๓. ช่วยหาวิธีให้สารธรรมชาติอื่นทดแทน
เช่น ถางหญ้าเอง ทำน้ำหมักฆ่าหญ้าเอง ทำปุ๋ยหมักใช้เอง
๔. จัดสรรพื้นที่ส่วนรวม
ให้ปลูกอยู่ปลูกกิน แบ่งพื้นที่ส่วนกลางในชุมชน ให้มาร่วมปลูกผักปลอดสารพิษใช้กินเอง
หลังจากคนในชุมชนมีข้อตกลงร่วมกันและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
และมีการตรวจเลือดซ้ำครั้งที่ ๒ ก็พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ มีผู้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยเพิ่มขึ้นเป็น ๔๐ คน (จากเดิม ๔ คน)
ชาวบ้านก็รู้สึกดีและมีกำลังใจที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น
ทำให้ชุมชนห้วยโป่งสามัคคีได้รับการยกย่องให้เป็นพื้นที่ “ชุมชนธรรมนูญต้นแบบ” ของจังหวัดลำพูนที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง