
สธ.จ่อนำร่อง 'สวนสาธารณะ' ให้ถอดหน้ากากได้พื้นที่แรก เตรียมเดินหน้ากลับสู่ชีวิตปกติ หลังปรับโควิดสู่โรคประจำถิ่น17 มีนาคม 2565
สธ.เปิดแผนปรับโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ตั้งเป้า "สวนสาธารณะ" พื้นที่แรกไม่ต้องใส่แมสก์ เตรียมชง ศบค. ผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศแบบ Test&Go ไฟเขียวต่างชาติเข้าไทยไม่ต้องตรวจ RT-PCR พร้อมลดวงเงินประกัน
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยถึงการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดใหญ่ในวันที่ 18 มี.ค. 2565 โดยทาง สธ.จะรายงานต่อ ศบค.ชุดใหญ่ ถึงแผนการปรับโรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น (Approach to Endemic) เนื่องจากจะมีผลต่อการควบคุมโรค การดูแลรักษา สังคมและกฎหมาย
สำหรับแผนการปรับจะต้องทำแบบขั้นบันได โดยในช่วง 4 เดือนนี้ จะเป็นแผน 3 เฟส + 1 ทำให้เกิดเป็น Post Pandemic ที่ไม่มีการระบาดใหญ่อยู่ในช่วงปลอดภัย ส่วนการทำให้เป็น Endemic อาจต้องดูการประกาศจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งทั้งหมดต้องอยู่ในเงื่อนไขว่าไวรัสไม่มีการกลายพันธุ์รุนแรงเข้ามา โดยต้องทำอย่างมีลำดับ ไม่ใช่ว่า 4 เดือนแล้วจะเปิดหน้ากาก มีกิจกรรมสังคมเต็มที่
"อาจตั้งเป้าหมาย อย่างเรื่องการใส่หน้ากาก ก็สนับสนุนให้คนป่วยใส่หน้ากาก ส่วนคนทั่วไปก็ผ่อนคลายมากขึ้น อาจไม่ใส่ในพื้นที่เปิดโล่ง เช่น สวนสาธารณะ อาจจะเป็นแห่งแรกที่ไม่ต้องสวมหน้ากากเพื่อให้ชีวิตเป็นปกติ ส่วนกิจกรรมรวมกลุ่มก็อาจผ่อนคลายให้รวมตัวมากขึ้น เช่น สนามกีฬา คอนเสิร์ต เป็นต้น แต่ต้องมีมาตรการป้องกันอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่" นพ.เกียรติภูมิ ระบุ
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า สธ.ยังได้เตรียมเสนอผ่อนคลายมาตรการเข้าประเทศระบบ Test&Go เพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจ จากเดิมกำหนดว่า ผู้เดินทางจะต้องมีผลตรวจเชื้อเป็นลบด้วยวิธี RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และมาถึงแล้วให้ตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกครั้งทันที จะเสนอว่าไม่จำเป็นต้องตรวจ RT-PCR ใน 72 ชั่วโมงแล้ว เหลือเพียงการตรวจครั้งเดียวเมื่อมาถึงไทย และตรวจ ATK ด้วยตนเองซ้ำอีกครั้งในวันที่ 5 ของการเดินทาง
ในขณะที่วงเงินประกันสุขภาพ ผู้เดินทางเดิมกำหนด 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ ก็จะเหลือ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการคำนวณจากค่าเฉลี่ยการรักษาพยาบาล เนื่องจากตอนนี้โรคเบาลงแล้ว จากเดิมเราเฉลี่ยค่ารักษา 1 ล้านบาทต่อราย ก็จะเหลือเพียง 2 หมื่นบาทต่อราย
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวอีกว่า สำหรับสายพันธุ์โอมิครอน ข้อมูลจากนักวิชาการ รพ.ศิริราช และต่างประเทศระบุว่าอยู่ในช่วงกลางๆ และกำลังเข้าขาลง เช่นสหรัฐอเมริกาที่กำลังเริ่มลดลง เนื่องจากวัคซีนเพิ่มและเชื้ออ่อนแรงรวมถึงติดเชื้อมากขึ้น ส่วนประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียติดเชื้อมากกว่าไทย ทั้งยอดสะสมและติดเชื้อใหม่รายวัน ดังนั้นเมื่อเทียบกับต่างประเทศแล้ว ประเทศไทยถือว่าอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างดี