
สช. สานพลังพัฒนานโยบาย ‘ส่งเสริมมีบุตร’ แก้ปัญหา ‘เด็กเกิดน้อย’ อย่างมีส่วนร่วม ชงเข้าสมัชชาสุขภาพฯ หนุน ‘วาระแห่งชาติ’8 พฤศจิกายน 2566
สช. เปิดพื้นที่กลางให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ระดมความคิดเห็น-นานาข้อเสนอแนวทางส่งเสริม-พัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ก่อนจะชงเข้าสู่การพิจารณาในสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 เพื่อใช้เป็นนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม สนับสนุนการแก้ไขปัญหา ‘เด็กเกิดน้อย’
สอดรับวาระแห่งชาติที่รัฐบาลเตรียมประกาศ
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2566 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม
ประเด็น “การส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ” เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเสนอต่อ ‘ร่างมติสมัชชาสุขภาพฯ’ เพื่อนำไปประกอบการจัดทำนโยบายที่จะนำเข้าสู่การรับรองในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 หนุนเสริมการส่งเสริมการมีบุตรที่รัฐบาลเตรียมประกาศเป็นวาระแห่งชาติ
โดยมีภาคีเครือข่ายทุกระดับเข้าร่วมผ่านทางห้องประชุม ณ อาคารสุขภาพแห่งชาติ และระบบออนไลน์เป็นจำนวนมาก
น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นการส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ
เปิดเผยว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 30
ของประชากรทั้งหมด ซึ่งจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ประชากรเด็กและวัยแรงงานจะลดลง
ซึ่งในแผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาวที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
(ครม.) เมื่อปี 2565 ก็ได้มีการระบุถึงการส่งเสริมให้สังคมมีการเกิดดี อยู่ดี
แก่ดี และตายดี ด้วย
ทั้งนี้ การส่งเสริมให้เกิดหรือเพิ่มประชากรจะต้องคำนึงถึงการสร้างครอบครัวที่มีคุณภาพ
สร้างระบบที่ดีและเอื้อต่อการเลี้ยงดูเด็กเพื่อยกระดับประชากรให้เติบโตเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ
มีระบบที่ทำให้ประชาชนมีความมั่นคงทางการเงิน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมในสังคมที่ดี
และเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยสูงอายุ ก็มีระบบการดูแลที่ดีไปจนกระทั่งเสียชีวิต
ทั้งหมดนี้นำมาสู่ความจำเป็นในการจัดทำนโยบายสาธารณะฯ ที่ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันขับเคลื่อน
น.ส.ภัทรพร เล้าวงค์
คณะทำงานและเลขานุการคณะทำงานพัฒนาประเด็นฯ กล่าวว่า สถานการณ์ประชากรของประเทศไทยยังเต็มไปด้วยความท้าทาย
ซึ่งสามารถแบ่งเป็น ‘ช่วงเกิด’ โดยพบว่าการเกิดลดลงเป็นอย่างมากในรอบ 6
ทศวรรษที่ผ่านมา และยังมีปัญหาการเกิดที่ไม่พร้อมและอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ตลอดจนการเกิดไม่ได้ในกลุ่มผู้ที่อยากมีบุตรแต่ร่างกายไม่เอื้อ และ ‘ช่วงเติบโต’ ซึ่งเด็กที่โตมาอย่างน้อยร้อยละ 15
ไม่ได้เข้าสู่บริการด้านสุขภาพหรือได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมเท่าที่ควรจะเป็น
มีเด็กได้เกือบร้อยละ 25 มีปัญหาพัฒนาการล่าช้า
และยังพบปัญหาการตายก่อนวัยอันควร
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาในมิติอื่นๆ ทางสังคม เช่น
ความสัมพันธ์และความรุนแรงในครอบครัว เด็กเร่ร่อนถูกทอดทิ้ง
ผู้ปกครองขาดความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดู ขาดแคลนทรัพยากร-ครัวเรือนยากจน
มีครัวเรือนตกหล่นจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การจัดสวัสดิการดูแลบุตรในสถานประกอบการยังมีจำกัด
ตลอดจนเรื่องความเท่าทันเทคโนโลยี
น.ส.ภัทรพร กล่าวต่อไปว่า โดยสรุปคณะทำงานพบว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องเกิดไม่ได้
เกิดไม่พร้อม โตไม่ดี ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐได้ดำเนินการแก้ปัญหาแล้ว แต่ก็ยังมีช่องว่างในการดำเนินงาน
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 1. กลุ่มเปราะบางยังเป็นกลุ่มตกหล่นจากมาตรการต่างๆ
ภาครัฐควรปรับปรุงรูปแบบการทำงานในเชิงรุกในการลงพื้นที่
เพื่อป้องกันการตกหล่นจากสวัสดิการ
ตลอดจนควรมีมาตรการที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มเศรษฐานะระดับกลาง 2. ความแตกต่างของปัญหาในแต่ละพื้นที่ ควรมีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล
วางแนวทางและพัฒนาโครงการที่มาจากบริบทพื้นที่ให้มากขึ้น
ตลอดจนควรมีการวิเคราะห์ช่องว่างเชิงสมรรถนะของบุคลากรในพื้นที่
3. การจัดบริการที่มีคุณภาพยังไม่ครอบคลุม
โดยพบว่าด้านคุณภาพบริการ
มีสถานบริการที่เป็นมิตรกับวัยรุ่นและเยาวชนในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพียง 19% และนอกสังกัด
สธ. เพียง 8% ส่วนการกำกับดูแล
พบว่าไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลสถานบริการดูแลเด็กอ่อนและสถานสงเคราะห์ของเอกชน
4.
สังคมขาดความตระหนักและการใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นฐานในการพัฒนาเด็ก 5. การนำเทคโนโลยีมาใช้ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ
น.ส.ภัทรพร กล่าวอีกว่า ร่างมติสมัชชาสุขภาพฯ ในระเบียบวาระนี้จึงอยากให้มีกรอบทิศทางทางนโยบาย
(Policy Statement) เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาประชากร
ควรสร้างความตระหนักและแรงขับเคลื่อนทางสังคมที่ใหญ่มากพอ (MOMENTUM) ในระดับชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการพัฒนาเด็กให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพโดยเฉพาะ
3,000 วันแรกของชีวิต ทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่
นอกจากนี้ ควรมีมาตรการหนุนเสริมสำหรับกลุ่มและเป้าหมายพื้นที่เฉพาะที่ยังเป็นช่องว่างสำคัญ
อาทิ กลุ่มครัวเรือนยากจน กลุ่มผู้ใช้แรงงานในโรงงานพื้นที่ที่มีอัตราการตั้งครรภ์ของแม่วัยรุ่นสูง
กลุ่มผู้ปกครองที่ยังมีการเลี้ยงดูบุตรหลานอย่างไม่เหมาะสม
กลุ่มเด็กที่มีปัญหาเฉพาะหรือถูกกลั่นแกล้ง
บนพื้นฐานการจัดทำมาตรการในลักษณะมาตรการที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างรอบด้าน (COMPREHENSIVE PACKAGE) มากกว่ามาตรการเชิงเดี่ยว
พร้อมกันนี้
ควรผลักดันมาตรการเชิงโครงสร้าง อาทิ การมีกลไกในพื้นที่ในการวางระบบการบริหารจัดการในลักษณะบูรณาการที่จะพัฒนาและสนับสนุนเด็กในมิติต่างๆ
และลดทอนการบริหารจัดการแบบแยกส่วนภายใต้กระทรวงต่างๆ การปรับกฎหมาย-กฎระเบียบต่างๆ
ที่เอื้อและสนับสนุนให้เอื้อต่อการสร้างครอบครัวสำหรับคนทุกกลุ่ม
โดยเฉพาะกฎหมายด้านการทำงานและการลา การกำกับดูแลสถานพัฒนา-ดูแลเด็กให้มีคุณภาพ
การประเมินผลการดำเนินโครงการขนาดใหญ่เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและแก้ปัญหาที่ตรงจุดยิ่งขึ้น การพัฒนางานวิจัยในลักษณะการวิจัยเชิงสำรวจระยะยาวให้มากขึ้น การพัฒนาแนวทางยกระดับการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันปรับปรุงข้อมูล-ตัวเลขสถิติให้ถูกต้อง และมีข้อเสนอต่อ Policy
Statement ที่น่าสนใจ
อาทิ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี
ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ที่เสนอว่า
แผนและประเด็นที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนยังขาดจุดโฟกัสเรื่องสุขภาวะทางจิตซึ่งจะมีความสำคัญเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันควรมีการขับเคลื่อนคุณธรรมในเชิงพฤติกรรมในทุกกลุ่มวัย
โดยปัจจุบันมีการจัดทำดัชนีชี้วัดไว้แล้ว ที่สำคัญคือทุกวันนี้ชุมชนมีความเปราะบาง
จำเป็นต้องทำให้เกิด ‘ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน’ ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนออื่นๆ ได้แก่ จัดทำ data center
เกี่ยวกับเด็กในระดับประเทศที่แสดงผลในลักษณะแดชบอร์ด เพิ่มเรื่องพื้นที่เรียนรู้-พื้นที่เรียนเล่นที่ช่วยสร้างศักยภาพให้เด็กนอกห้องเรียน กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลเด็กภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน บัญญัติกฎหมายให้สถานประกอบการมีมุมนมแม่ จัดบริการสำหรับเด็กพิการและเด็กพิเศษ
ดึงภาคธุรกิจเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาโดยรัฐสนับสนุนสิทธิประโยชน์
จัดตั้งสเปิร์มแบงก์ในระดับจังหวัดเพื่อสร้างประชากรใหม่ที่มีคุณภาพในระดับจังหวัด
ใช้มาตรการภาษีกระตุ้น การเพิ่มวันลาและการได้รับค่าจ้าง สร้างความเข้าใจและตระหนักร่วมกันว่าการมีบุตรยากเป็นปัญหาของชาติ
ใช้ยาแรงหรือมาตรการที่เข้มข้นในการจูงใจในลักษณะเดียวกับในต่างประเทศ เช่น ลาคลอด
200 วัน ฯลฯ
นพ.กิจจา เรืองไทย รองประธานคณะอนุกรรมการกำกับ
สนับสนุน และเชื่อมโยงกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า คณะทำงานจะเปิดรับข้อเสนอไปจนถึงวันที่
14 พ.ย. 2566 ส่วนความคิดเห็นและข้อเสนอจากการประชุมครั้งนี้
จะถูกนำไปสังเคราะห์และเพิ่มเติมใน ‘ร่างมติสมัชชาสุขภาพฯ’ ให้มีความชัดเจนและครบถ้วนขึ้น ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาอีกครั้งในเวทีสมัชชาเฉพาะประเด็น
ในวันที่ 20 พ.ย. 2566 เพื่อให้มีความสมบูรณ์
และจะนำเข้าสู่การพิจารณาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 21-22 ธ.ค. 2566 โดยในปีนี้
มีระเบียบวาระเข้าสู่การพิจารณารวม 3 ระเบียบวาระ ได้แก่
การส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ระบบสุขภาวะทางจิตเพื่อสังคมไทยไร้ความรุนแรง และการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่