หวังอนาคต ‘วัด’ มีส่วนจัดบริการสุขภาพ ร่วมดูแลผู้ป่วยระยะท้าย-หนุน ‘สถานชีวาภิบาล’ สอดรับภารกิจ ‘ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ฯ’11 มกราคม 2567
วงถกย่อยสมัชชาสุขภาพฯ ร่วมหารือบทบาท “พุทธศาสนา”
กับการดูแลสุขภาวะระยะท้ายภายใต้นโยบาย “สถานชีวาภิบาล” เผยสอดคล้องตรงกันกับการเดินหน้า
“ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติฯ” ภาคีร่วมมองภาพ “วัด”
ยุคถัดไปมีส่วนจัดบริการสุขภาพ สามารถให้การดูแลประคับประคอง
พร้อมเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของสังคม
เมื่อวันที่ 22
ธ.ค. 2566 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดเวทีเสวนาการจัดบริการการดูแลแบบประคับประคองและระยะท้ายของสถานชีวาภิบาลโดยองค์กรพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ 16 พ.ศ. 2566 ที่ ณ โรงแรมเซ็นทรา
บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
พระเทพเวที, รศ.ดร. (พล อาภากโร ป.ธ.9)
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เปิดเผยว่า
แนวคิดการดำเนินงานนโยบายสถานชีวาภิบาล
นับว่ามีความสอดคล้องกันพอดีกับความก้าวหน้าของโครงสร้างต่างๆ ที่มีมาเป็นลำดับ
นับตั้งแต่การประกาศใช้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4M คือ
1. Man
มีการฝึกอบรมพระคิลานุปัฏฐาก หรือพระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด
(อสว.)
2. Management มีการวางระบบสร้างความรู้ให้พระสงฆ์สามารถดูแลรักษาสุขภาพตนเองได้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย
รวมทั้งเป็นแบบอย่างของสังคมในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ
3. Material โครงสร้างการสาธารณสงเคราะห์และสาธารณูปการ
ซึ่งคณะสงฆ์กำลังปฏิรูปกิจการพุทธศาสนา การทำสถานที่วัดให้เป็น 5ส คือ สะสาง, สะดวก, สะอาด,
สร้างมาตรฐาน และสร้างวินัย
4. Money เมื่อมีโครงการ
นโยบายต่างๆ ที่จะมีงบประมาณเข้ามาร่วมสนับสนุนเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้เมื่อมีแนวคิดของสถานชีวาภิบาลเข้ามาแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่เข้ามาสอดคล้องกันได้พอดี
พระเทพเวที กล่าวว่า
สิ่งหนึ่งที่จะต้องพึงตระหนักเสมอ
เมื่อให้พระเข้ามามีบทบาทในการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้นแล้ว คืออย่างไรก็ตาม พระเองก็ไม่ใช่นักวิชาชีพ
ที่จะมีความรู้ความเชี่ยวชาญและสามารถปฏิบัติงานทดแทนบุคลากรทางวิชาชีพได้ จึงต้องรู้ว่าพระควรจะดูแลผู้ป่วยได้ระดับไหนอย่างไร
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งว่าพระไปแย่งงานสุขภาพ หรือเป็นเจ้าของสถานชีวาภิบาลเหล่านี้เสียเอง
“หากแบ่งงานเป็น 4
มิติสุขภาพ คือกาย จิต สังคม ปัญญา คนไข้ก็ต้องไปรักษาทางกายที่โรงพยาบาลก่อน
หากไม่ไหวจึงกลับมาสู่การดูแลในสถานชีวาภิบาล โดยบทบาทความเชี่ยวชาญของพระคิลานุปัฏฐาก
หรือพระคิลานธรรม ก็อาจมีส่วนช่วยเติมการดูแลในด้านจิตใจและปัญญา” พระเทพเวที กล่าว
พญ.เดือนเพ็ญ ห่อรัตนาเรือง กรรมการและเลขานุการร่วม กรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาชีวาภิบาล
กล่าวว่า การเข้ามาของนโยบายสถานชีวาภิบาลของรัฐบาล
นับเป็นโอกาสที่เหมาะสมและสอดรับกับแนวทางการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะท้าย
ซึ่งจะทำให้เกิดระบบการดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงและผู้ป่วยระยะท้ายอย่างมีคุณภาพตลอดสายธาร
นับตั้งแต่การดูแลในโรงพยาบาล ไปจนถึงการดูแลที่บ้านเมื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตระยะท้าย
อย่างไรก็ตามในกลุ่มผู้ป่วยบางส่วนที่อาจไม่สามารถรับการดูแลที่บ้านได้ หรือกลุ่มของพระสงฆ์ที่ไม่ได้พำนักที่บ้านแล้ว
สถานชีวาภิบาลในวัดก็จะเป็นสถานที่ดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิต
พญ.เดือนเพ็ญ
กล่าวว่า เมื่อต่อไปวัดจะมีบทบาทในการเป็นสถานที่ดูแล ก็จะต้องมีองค์ประกอบของบุคคลผู้ดูแลที่สำคัญอย่างพระคิลานุปัฏฐาก
เสมือนกับเป็น Caregiver ช่วยดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ในขณะเดียวกันก็ยังจะมีบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ยังลงพื้นที่ไปร่วมดูแลด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายสูงสุดตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 คือการให้ประชาชนทุกคนได้มีสิทธิในการเลือกที่จะได้รับการดูแลในระยะท้ายได้
ตามความประสงค์ของตนเองที่ได้แสดงเจตนาเอาไว้
ขณะที่ น.ส.นงลักษณ์ ยอดมงคล
ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในบทบาทของ
สปสช. แม้จะมีภารกิจหลักที่มุ่งเน้นการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(บัตรทอง) แต่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบบริการ ชุดสิทธิประโยชน์
รวมทั้งการยกระดับขีดความสามารถของภาคส่วนต่างๆ
ในการเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนระบบบริการสุขภาพ ผ่านกลไกต่างๆ อย่างกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
(กปท.) เป็นต้น
“ในส่วนของการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
หรือการดูแลแบบประคับประคอง สปสช.
ไม่ได้สนับสนุนงบประมาณไปที่หน่วยบริการอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ในวันนี้เราก็พยายามที่จะหนุนเสริมองค์กรพระพุทธศาสนา รวมถึงองค์กรอื่นๆ
ที่มีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชน เครือข่ายวิสาหกิจเพื่อสังคม
หรือภาคประชาชนในพื้นที่ มาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมจัดบริการสุขภาพ ทั้งการส่งเสริม
รักษา ฟื้นฟู ตลอดจนการดูแลประคับประคอง โดยเป็นไปตามมาตรา 3 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545” น.ส.นงลักษณ์
กล่าว
ด้าน นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล
รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 5-6 ปีของการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ภายใต้ความร่วมมือของภาคีภาคส่วนต่างๆ ทั้งด้านศาสนา สุขภาพ การศึกษา ฯลฯ
จนกระทั่งได้มีการทบทวนและปรับปรุงเนื้อหาธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ฯ ฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ล่าสุดในปี
2566 นี้ ภาพที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนคือสิทธิด้านสุขภาพของพระสงฆ์
จากเดิมที่เคยเป็นช่องว่าง ปัจจุบันได้รับการดูแลที่ดีขึ้นจนทัดเทียมกับฆราวาสทั่วไป
ทั้งนี้
มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การตรวจสอบสิทธิพระภิกษุและสามเณรเพื่อเข้ารับบริการสาธารณสุข
มากกว่า 1.6 แสนรูป
มีการตรวจคัดกรองสุขภาพพระภิกษุและสามเณรกว่า 8 หมื่นรูป
มีความร่วมมือจับคู่ 1 วัด 1 โรงพยาบาลเพื่อดูแลสุขภาพพระสงฆ์ไปได้กว่า
9,600 แห่ง หรือคิดเป็นมากกว่า 90%
มีพระคิลานุปัฏฐาก จำนวนกว่า 1.3 หมื่นรูป
มีวัดส่งเสริมสุขภาพที่ผ่านเกณฑ์การประเมินรับรองกว่า 1.8 หมื่นแห่ง
มีวัดร่วมพัฒนาชุมชนคุณธรรม จำนวนกว่า 4,900 แห่ง เป็นต้น
“ต่อไปเมื่อมีสถานชีวาภิบาล
ก็จะเป็นอีกหนึ่งบทบาทขององค์กรสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม
ตามหมวด 1 ของธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ฯ โดยเฉพาะการสร้างเสริมสุขภาวะระยะท้ายของชีวิต
รวมทั้งเรื่องของสิทธิการแสดงเจตนาว่าจะรับบริการสุขภาพ
หรือต้องการการดูแลอย่างไรเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ซึ่งในอนาคตผู้คนจะสามารถทำหนังสือแสดงเจตนานี้ได้ทั้งที่โรงพยาบาล
กระทั่งวัด โดยเราจะมีภาคส่วนที่เข้ามาสานพลังเป็นภาคี เพื่อร่วมขับเคลื่อนงานนี้กันได้มากขึ้น” นายสุทธิพงษ์ กล่าว