5C ส่งเสริมจุดแข็งจัดการจุดอ่อน เรียนรู้จาก ‘สมัชชาสุขภาพฯ พัทยา’ ต้นแบบพื้นที่สร้างนโยบายสาธารณะ29 มกราคม 2567
สช.
พร้อมภาคีเครือข่ายเมืองพัทยา ร่วมวงถอดบทเรียน “สมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา”
พบความสำเร็จจากการสร้างการมีส่วนร่วมที่หลากหลาย ภายใต้ผลลัพธ์การได้กฎกติกา-ระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคม
ตลอดจนข้อตกลงของกลุ่มอาชีพ พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุน-ข้อจำกัด
สู่การขยายผลขับเคลื่อน “ธรรมนูญสุขภาพ” อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
เมื่อวันที่ 23 ม.ค.
2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับเมืองพัทยา
และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการถอดบทเรียนการจัดและแนวทางการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพเมืองพัทยา
ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2566 เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนตลอดจนวิเคราะห์ถอดบทเรียนกระบวนการสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา
ครั้งที่ 2 ให้เกิดเป็นข้อเสนอที่นำไปสู่การวางแผนและออกแบบกระบวนการขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต
สำหรับสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา
ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2566 ซึ่งจัดไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2566 ภายใต้ประเด็นหลัก (Theme)
“เมืองท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสุขภาพ” ได้รับความสนใจจากภาคีเครือข่ายกลุ่มต่างๆ
ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาชนและเอกชน ที่เข้าร่วมงานรวมกว่า 300 คน โดยในเวทีการประชุมซึ่งมี
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา เป็นประธาน ได้ร่วมกันรับรองฉันทมติ
2 ระเบียบวาระ ประกอบด้วย 1. ธรรมนูญสุขภาพเมืองพัทยา 2. ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ
นอกจากนี้ ภายในงานดังกล่าวได้มีการร่วมกันประกาศใช้ธรรมนูญ
3 ฉบับ ได้แก่ “ธรรมนูญสุขภาพเมืองพัทยา” เป็นข้อตกลงและพันธะร่วมกันทุกภาคส่วนในเมืองพัทยา
ทั้งคนในชุมชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาครัฐ หรือหน่วยราชการต่างๆ ให้เป็นกรอบทิศทางหรือแนวปฏิบัติในการนำไปสู่สุขภาวะของเมืองพัทยา
ร่วมด้วย “ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ ร่มเตียง ชายหาดเมืองพัทยา” และ “ธรรมนูญกลุ่มอาชีพ
นวดแผนไทย ชายหาดเมืองพัทยา” ที่เป็นเสมือนข้อตกลงร่วมกันในการบริหารจัดการชายหาด
รวมทั้งกติกาของกลุ่มผู้ประกอบการร่มเตียงและนวดแผนไทย
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมืองพัทยาไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะสำหรับประเทศไทย
หากยังเป็นหมุดหมายของการท่องเที่ยวที่สำคัญในระดับโลก ดังนั้นการออกแบบกระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสร้างสุขภาวะที่ดี
จึงมีผลไปถึงกลุ่มคนที่หลากหลายในวงกว้าง
ซึ่งเป็นความโชคดีที่เมืองพัทยามีฐานต้นทุนเดิมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นความใส่ใจและเอาจริงเอาจังของคณะผู้บริหารเมือง
รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายแต่ละภาคส่วนที่หลากหลาย
“ที่ผ่านมาเวลาเราพูดถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชน
ส่วนใหญ่มักจะมุ่งให้ความสำคัญไปที่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ในระยะหลังเราจะเห็นได้ว่าหลายแห่งมีการให้ความสนใจกับเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ซึ่งสิ่งนี้สอดรับกับนิยามของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ว่าระบบสุขภาพนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของมดหมอหยูกยา
แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงปัจจัยทางพฤติกรรม เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ในอีกหลายมิติ ที่ต้องการให้ผู้คนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมพูดคุย
มองเป้าหมายร่วมกัน” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวว่า การถอดบทเรียนกระบวนการนโยบายสาธารณะของเมืองพัทยานั้น
จะช่วยให้เกิดการจัดการจุดอ่อนและเสริมในจุดแข็ง เพื่อให้การขับเคลื่อนกระบวนการต่างๆ
เดินหน้าต่อไปได้ดียิ่งขึ้น โดยอาจสรุปสิ่งสำคัญได้ใน 5C คือ
Common Goals การมีเป้าหมายร่วมกัน, Capital การใช้ฐานทุนที่มี, Collaboration สร้างการมีส่วนร่วม,
Commitment การสร้างพันธสัญญาร่วมคิดและต้องร่วมทำ และ Communication
การสื่อสารที่ครอบคลุมไปถึงทุกภาคส่วน
ในส่วนของกระบวนการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อถอดบทเรียนฯ
ในครั้งนี้ ซึ่งนำโดย ดร.จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร ภาคีเครือข่ายได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนและถอดบทเรียนการจัดเวทีสมัชชาสุขภาพสากลเมืองพัทยา
ครั้งที่ 2 ซึ่งพบว่ามีการเตรียมงานที่ดีขึ้นจากการจัดงานในครั้งที่
1 โดยเพิ่มกลุ่มเป้าหมาย การมีส่วนร่วม
รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งยังเห็นความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายที่มีความตื่นตัวเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันยังเกิดผลลัพธ์ที่มีความสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เริ่มเกิดการจัดระเบียบของสังคม ด้วยการวางกฎกติกาการอยู่ร่วมกันของสังคมเมืองพัทยาภายใต้
“ธรรมนูญสุขภาพเมืองพัทยา” ซึ่งพบว่านอกจากจะถูกกล่าวขานถึงเป็นตัวอย่างในระดับประเทศแล้ว
ยังมีการสื่อสารถึงในระดับสากลผ่านสำนักข่าวต่างประเทศ ที่ส่งผลกระทบและสร้างการรับรู้ไปในวงกว้าง
นับเป็นนวัตกรรมชุมชนเมืองที่มีการจัดการตนเอง โดยเชื่อมโยงกับการทำงานภาครัฐภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม
ทั้งนี้
จากการร่วมกันวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุน พบว่าเมืองพัทยามีคณะทำงานที่เก่ง
มีผู้บริหารที่ให้ความสำคัญ
และมียุทธศาสตร์ของเมืองที่สอดคล้องกับกระบวนการนโยบายสาธารณะ
ส่วนปัจจัยที่ยังเป็นข้อจำกัด เช่น ระเบียบของงบประมาณที่ขาดความคล่องตัว
กรอบระยะเวลาการเตรียมงาน การเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายที่ยังขาดในบางกลุ่ม
การสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาสู่กระบวนการ
ตลอดจนเรื่องของการมีส่วนร่วมที่อาจยังไม่ถึงระดับของการเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วน
ซึ่งประเด็นทั้งหมดได้ถูกรวบรวมเป็นข้อเสนอเพื่อนำไปสู่การพัฒนาในกระบวนการขับเคลื่อนต่อไป