ภาคีสมัชชาสุขภาพฯ จัดทำนโยบายฯ เล็งใช้ "มาตรการทางการคลัง" จูงใจดูแลสุขภาพ ดึง "ภาคเศรษฐกิจ-สังคม" ร่วมลดโรคโรคไม่ติดต่อ NCDs2 พฤษภาคม 2567
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
จัดการประชุมคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ
2/2567 ซึ่งมี
นพ.โสภณ เมฆธน เป็นประธาน
เพื่อร่วมกันพิจารณาร่างข้อเสนอเชิงนโยบายของสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วย การสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ
และแผนการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างข้อ
เสนอฯ
นพ.โสภณ เปิดเผยว่า แม้ที่ผ่านมาเราจะมีความพยายามในการดำเนินงานเพื่อหยุดยั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
(NCDs) มาเป็นระยะเวลานาน แต่ก็อาจเรียกได้ว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ
เนื่องด้วยบทบาทหน้าที่หลักยังอยู่ในหน่วยงานภาคสาธารณสุข ซึ่งความจริงแล้วหนทางของการแก้ไขปัญหานี้
จำเป็นจะต้องดึงบทบาทของภาคส่วนอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ภายใต้มาตรการใหม่ๆ
ที่จะช่วยสร้างสภาวะแวดล้อมหรือ ‘ระบบนิเวศ’ เพื่อลดโรค NCDs ให้เกิดขึ้นได้ทั้งระบบ
“โรค NCDs เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ทางเดินหายใจ ฯลฯ ที่เป็นผลมาจากพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม
การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ฯลฯ ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
เพราะไม่ได้เป็นอุปสรรคเฉพาะด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์มูลค่ามหาศาลจากความเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชาชน”
นพ.โสภณ ระบุ
นพ.โสภณ กล่าวว่า
ความสำคัญในวันนี้จึงเป็นการใช้กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ เพื่อนำเอาภาคส่วนอื่นๆ
นอกเหนือจากภาคสาธารณสุขเข้ามาช่วยกันสร้างระบบนิเวศเพื่อลดโรค NCDs เช่น ภาคการคลัง ใช้มาตรการทางภาษีเข้ามาช่วย ภาคการกีฬา
เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการออกกำลังกาย ภาคเกษตร
ดูแลเรื่องอาหารที่ปลอดภัย หรือภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนภาคท้องถิ่น
ก็เข้ามาร่วมดูแลและมีมาตรการภายในพื้นที่โรงเรียน โรงงาน หรือท้องถิ่นที่ตนรับผิดชอบด้วย
ซึ่งระบบนิเวศทั้งหมดนี้จะเป็นการพัฒนาเชิงระบบที่ยั่งยืนให้กับการลดโรค
NCDs และเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทย
นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ กล่าวว่า หนึ่งในนวัตกรรมที่อาจนำมาใช้สนับสนุนการสร้างระบบนิเวศเพื่อลดโรค
NCDs ได้ คือ ‘มาตรการทางภาษี’ ซึ่งที่ผ่านมาอาจเคยมีการดำเนินมาตรการ เช่น ภาษีน้ำตาล ภาษีโซเดียม ฯลฯ
แต่เรายังสามารถพัฒนาให้เกิดมาตรการทางภาษีที่หลากหลายเพิ่มเติม เช่น
การลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลหรือนิติบุคคล
เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการป้องกันโรคในระดับบุคคล
นายชาญเชาวน์ กล่าวว่า
หนึ่งในแบบอย่างที่เริ่มต้นมาแล้วจาก มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เรื่อง การขับเคลื่อนแพลตฟอร์มเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลสถิติการออกกำลังกาย
และการเล่นกีฬาของประชาชน (Calories Credit Challenge: CCC)
ซึ่งได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เก็บสะสม ‘แคลอรี่เครดิต’ แล้วสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยเราอาจนำแนวทางนี้มาพัฒนากับโครงสร้างทางภาษี
เกิดเป็นระบบนิเวศใหม่คล้ายกับ ‘คาร์บอนเครดิต’ ที่กลายเป็นมูลค่าและกระตุ้นให้แต่ละภาคส่วนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
“หากเราพัฒนาให้เกิดระบบนิเวศด้วยการปรับโครงสร้างภาษี
เพื่อกระตุ้นให้คนไทยลดโรค NCDs เช่น
สามารถนำพฤติกรรมการออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้
จะถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยจูงใจและทำให้เกิดผลลัพธ์ในการป้องกันโรคแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”
นายชาญเชาวน์ ระบุ
ขณะที่ ดร.ภญ.อรทัย
วลีวงศ์ สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ IHPP
กล่าวว่า จากการจัดประชุมปรึกษาหารือ (ถกแถลง) ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องไปก่อนหน้านี้ ทำให้ได้รับข้อมูลทั้งสถานการณ์ประเด็นปัญหา
บทเรียนการดำเนินงานต่างๆ และข้อเสนอแนะ ที่นำมาสู่การร่างกรอบทิศทางนโยบาย (Policy
Statement) เพื่อเป็นทิศทางของนโยบายสาธารณะประเด็นนี้
ที่จะนำไปหาฉันทมติในกระบวนการสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ร่วมกันต่อไป
สำหรับกรอบทิศทางนโยบายนี้
จะมุ่งสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่เอื้อต่อการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ภายใต้
5 มาตรการหลัก ประกอบด้วย 1.
จัดระเบียบและลดการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ อาทิ เหล้า บุหรี่ อาหารแปรรูป 2. ส่งเสริมการผลิต เพิ่มการเข้าถึงสินค้าและบริการที่ดีต่อสุขภาพ 3. สร้างสภาวะแวดล้อมสรรค์สร้างและพื้นที่สุขภาวะ 4.
สร้างความรอบรู้ สื่อสารข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง และจํากัดสื่อโฆษณา 5. สร้างโอกาส กิจกรรม ส่งเสริมการมีสุขภาพดีและพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
ทั้งนี้ ภายใต้ 5
ระบบและกลไกหนุนเสริมการดำเนินการ ได้แก่ 1.
การพัฒนาเครื่องมือนโยบาย (policy instruments) และมาตรฐาน 2. การออกแบบ พัฒนานวัตกรรม โมเดล และขยายผลเชิงระบบ 3. การสนับสนุนการเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคม 4. การพัฒนาระบบกำกับ ติดตามและประเมินผลลัพธ์ 5.
การพัฒนาระบบตัดสินใจ บริหาร และสนับสนุนการลงทุน (Governance)
ด้าน นพ.สุเทพ
เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า สิ่งสำคัญนอกจากการร่างเนื้อหานโยบายสาธารณะแล้ว
ยังเป็นการวางแนวทางที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรม
การหาจุดคานงัดที่จะทำให้มาตรการต่างๆ เดินหน้าปฏิบัติจริงได้ โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นการหาตัวอย่างจากมาตรการที่เกิดขึ้นของประเทศอื่นๆ
หรือพื้นที่ต้นแบบของนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูแล้วสามารถนำไปเป็นไอเดียในการคิดต่อได้
ในส่วนของกระบวนการภายหลังจากนี้
ทางคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ จะมีการนำร่างข้อเสนอฯ
เข้าสู่เวทีรับฟังความคิดเห็นในช่วงเดือน มิ.ย. 2567 ก่อนนำไปปรับปรุงเอกสารหลักและร่างมติอีกครั้ง
และระหว่างนั้นก็จะมีกระบวนการระดับพื้นที่ โดยจัดเวทีปรึกษาหารือในจังหวัดนำร่องที่มีการดำเนินงานเกี่ยวกับการสร้างระบบนิเวศเพื่อลด
NCDs จากนั้นจึงนำเข้าสู่การจัดเวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น
ในช่วงประมาณเดือน ส.ค. 2567 เพื่อหาฉันทมติต่อนโยบายสาธารณะดังกล่าวร่วมกัน
ก่อนที่จะเสนอต่อ คสช. เพื่อส่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวข้องต่อไป