สช.จับมือภาคีผนึกภารกิจหลายองค์กร สร้างขบวนเสริมแกร่งความมั่นคงอาหาร หลังพบ 'ตัวชี้วัด-SDGs' ไทยถดถอย20 มิถุนายน 2567
สช. จัดเวทีบูรณาการขับเคลื่อนนโยบาย
“อาหารปลอดภัย-ความมั่นคงทางอาหาร” ระดมความเห็น
แนวทางการเดินหน้าสู่ระบบเกษตร-อาหารที่ยั่งยืน เร่งพัฒนาความก้าวหน้าของ
“ประเทศไทย” หลังหลายตัวชี้วัดตามเป้าหมาย SDGs เริ่มถดถอย
ย้ำต้องมองกว้างกว่าเรื่องของอาหาร แต่ยังคาบเกี่ยวกับอีกหลายมิติ
ทั้งเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ
เมื่อวันที่ 19
มิ.ย. 2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) จัดเวทีระดมความเห็นการขับเคลื่อนนโยบายอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร
โดยเชิญภาคีเครือข่ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม
มาร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ วิเคราะห์ช่องว่าง รวมทั้งระดมความเห็นและข้อเสนอแนะในการบูรณาการ
การขับเคลื่อนนโยบายอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทย
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า
เรื่องของอาหารเป็นประเด็นที่มีความสำคัญ แม้เราจะมองว่าไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
เป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันเรากลับยังพบปัญหาที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าไม่ถึงอาหาร
หรือเผชิญกับภาวะการขาดสารอาหาร ซึ่งหากไปดูสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดในหลายๆ
โรค ก็จะพบว่ามีรากที่มาจากภาวะการขาดสารอาหารด้วย
อาหารจึงนับเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เราต้องร่วมกันดำเนินการอีกมาก
นพ.สุเทพ กล่าวว่า
ประเทศไทยเองมีนโยบายที่สนับสนุนเรื่องอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารจากหลายกลไกและหน่วยงาน
เช่น คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ โดยในส่วนของ สช. เองได้มีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ที่ภาคีทุกภาคส่วนมีฉันทมติและขับเคลื่อนร่วมกันจนเกิดผลสำเร็จไปหลายประการ
ทั้งมติ “ความปลอดภัยทางอาหาร: การแก้ไขปัญหาจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช” ในปี
2555 และมติ “ความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤติ” ในปี
2563
“ในระดับโลกเองเราก็มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
หรือ SDGs เป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย
ที่แต่ละประเทศมุ่งขับเคลื่อนให้บรรลุตามตัวชี้วัด
ส่วนในไทยเราท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเจริญขึ้น มีอาหารมากขึ้น มีกินมากขึ้น
แต่กลับพบว่าได้คะแนนตกต่ำลงในหลายดัชนี ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความหิวโหย
ความมั่นคงทางอาหาร คุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ฯลฯ จึงเป็นโจทย์สำคัญที่เราจะมาร่วมกันทำอย่างไร
เพื่อบูรณาการภารกิจ หน่วยงาน แผนปฏิบัติการต่างๆ ผนวกกับนวัตกรรม
เทคโนโลยีที่มีมากขึ้น มาช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้” นพ.สุเทพ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ชล
บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG
Move) ได้ร่วมกล่าวในการเสวนา “นโยบายอาหารปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของไทย:
ทิศทางและความท้าทาย” โดยระบุว่า
เมื่อเราพูดถึงเป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย หรือ Zero
Hunger ของ SDGs ความจริงแล้วยังมีประเด็นที่ครอบคลุมในหลายมิติมากกว่าเพียงแค่เรื่องของอาหาร
ขณะที่ความเข้าใจของผู้คนที่มักคิดว่าไทยเราเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร จึงน่าจะมีสถานะในเรื่องนี้ที่ดี
หากแต่ในความเป็นจริงแล้วจากการประเมินโดยหลายแหล่งกลับชี้ให้เห็นตรงกันว่า เรื่องของระบบอาหาร
กลับเป็นประเด็นความท้าทายที่สำคัญในเป้าหมาย SDGs ของประเทศไทย
“อันที่จริงนอกจากตัวชี้วัดตามเป้าหมายที่
2 ของ SDGs เราจะไม่พัฒนาขึ้นแล้ว
ยังมีแนวโน้มถดถอยลงด้วย ซึ่งสะท้อนว่าเรายังมีระบบอาหารที่ยังไม่ยั่งยืน
แต่เวลาพูดถึงเรื่องนี้เราอาจต้องมองภาพที่กว้างกว่าแค่เรื่องของอาหาร
เพราะยังมีความเกี่ยวข้องกับมิติอื่นๆ ดังนั้นในการพิจารณาระบบอาหารที่ยั่งยืน
จึงอาจต้องเชื่อมโยงภาคีทุกภาคส่วนเพื่อมาร่วมขับเคลื่อนในเรื่องนี้
เพราะเรื่องของระบบอาหารและการเกษตรนั้น
ยังมีส่วนไปสร้างผลกระทบทางลบให้กับเป้าหมายอื่นๆ ของ SDGs ได้อีกจำนวนมาก
ฉะนั้นหากเราทำให้ระบบอาหารยั่งยืนได้ ปัญหาหลายๆ
อย่างก็มีส่วนที่จะคลี่คลายลงไปได้ด้วย” ผศ.ชล ระบุ
ดร.กนกวรรณ
มนูญผล นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ กองอาหาร
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า
ที่ผ่านมาหากมองตลอดห่วงโซ่ของระบบอาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่หลายฉบับ
และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของหลายหน่วยงานที่มีลักษณะการปฏิบัติงานในมิติที่แตกต่างกัน
แต่ขาดการบูรณาการและความเป็นเอกภาพ จึงนำมาสู่การออก พ.ร.บ.คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
พ.ศ. 2551 ขึ้น
เพื่อให้เกิดองค์กรหลักที่จะบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบอาหาร
มาร่วมกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ให้เท่าทันกับสถานการณ์
สำหรับคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
จะมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายฯ เป็นประธาน และ อย.
ทำหน้าที่เป็นเลขานุการ โดยปัจจุบันมีแผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย
ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 มี.ค.
2566 เป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำงาน ที่กำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายความสำเร็จต่างๆ
แต่ขณะเดียวกันในการดำเนินงานตามตัวชี้วัดต่างๆ
ปัจจุบันก็ต้องเผชิญกับปัจจัยความท้าทายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพแวดล้อม
สภาวะสงคราม สภาพเศรษฐกิจและการเมืองโลก ฯลฯ
ด้าน นางศศิวิมล ทับแย้ม
ผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานสุขอนามัยพืช สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
กล่าวว่า มกอช. เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทในการกำหนด ตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร
เพื่อให้ความมั่นใจกับผู้บริโภค และเป็นส่วนในการสนับสนุนระบบอาหารที่มีความปลอดภัยและยั่งยืน
ขณะเดียวกันอีกบทบาทหนึ่งของ มกอช. ก็ยังเป็นเลขานุการร่วมกับ อย.
ในคณะกรรมการอาหารแห่งชาติด้วย
นางศศิวิมล กล่าวว่า
สำหรับแนวทางการดำเนินงานที่จะต้องบูรณาการภาคส่วนต่างๆ ร่วมกันต่อจากนี้ จะต้องมาอัพเดทสถานการณ์ร่วมกันว่าหน่วยงานต่างๆ
ที่รับผิดชอบอยู่ ปัจจุบันมีสถานการณ์ แผนงาน งบประมาณ ข้อจำกัด ฯลฯ อย่างไร ตลอดจนเสียงสะท้อนและข้อเสนอที่รวบรวมจากภาคส่วนต่างๆ
อย่างเวทีที่ สช. จัดขึ้นในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยในการเป็นข้อมูลนำเข้าสู่กลไกกลาง
เพื่อพัฒนาไปเป็นโยบายในภาพใหญ่ของประเทศต่อไปได้