สช. สานพลังภาคีเครือข่าย เปิดเวทีนโยบายสาธารณะฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหา “บุหรี่ไฟฟ้า” คุ้มครองเยาวชน31 กรกฎาคม 2567
สช. สานพลังภาคีเครือข่าย เปิดเวทีนโยบายสาธารณะฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหา “บุหรี่ไฟฟ้า” คุ้มครองเยาวชน “ผู้ช่วย รมต. ประจำ สธ.” เสนอออกกฎหมายเฉพาะจัดการ ด้าน “ศ.บรรเจิด” เห็นด้วย พร้อมชงนายกฯ ใช้มาตรการบริหาร ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการขายร่วมรับผิดด้วย ขณะที่ สคบ.เปิดข้อมูลปี 2567 จับได้ 1 แสนชิ้น
วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่าย จัดเวทีสนทนานโยบายสาธารณะ (Policy Dialogue) ครั้งที่ 5 หัวข้อ บุหรี่ไฟฟ้า ฆ่าเยาวชนไทย “อย่าปล่อยให้...ฆาตกรลอยนวล” เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมรับรู้และตระหนักถึงปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ พร้อมร่วมกันวิเคราะห์และเสนอทางออกในการรับมือกับปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ตลอดจนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน
นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
และประธานคณะทำงานบูรณาการเพื่อปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า
เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ รมว.สาธารณสุข
ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า จึงมีการตั้งคณะทำงานบูรณาการฯ
ขึ้นมาทำงาน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่บังคับใช้เป็นการเฉพาะในการจัดการกับเรื่องนี้
ทำให้ต้องบูรณาการหน่วยงานต่างๆ ที่ถือกฎหมายคนละฉบับ
เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกันก่อน
นายกองตรี ดร.ธนกฤต กล่าวว่า
ยืนยันว่าในปัจจุบันไม่มีหน่วยงานใดที่จะสนับสนุนและยอมรับให้เกิดการใช้บุหรี่ไฟฟ้า
เนื่องจากพิษภัยทั้งในเชิงสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม
และยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ยาเสพติดชนิดอื่นที่จะกลายเป็นภัยสังคมตามมา
และที่รับไม่ได้เลยคือภาพเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ขวบ ยืนรอซื้อบุหรี่ไฟฟ้าหลังเลิกเรียน
จึงขอยืนยันว่าจะต่อสู้กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะขัดกับผลประโยชน์ของใครก็ตาม
“สิ่งที่เราอยากให้บูรณาการได้จริงคือการบังคับใช้กฎหมาย ที่ขณะนี้มีอยู่หลายฉบับแต่กลับยังไม่สามารถทำให้คนหลาบจำได้ ซึ่งรอยรั่วส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะต้องยอมรับว่าหากเราไปดูในสภา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง หน่วยงานต่างๆ ก็มีผู้ที่สูบอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องอาศัยความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และหากจะมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเรื่องนี้ให้ชัดเจนโดยเฉพาะ ก็ควรจะต้องรีบคิด แต่เชื่อว่าหากสังคมเห็นร่วมกันว่าเรื่องนี้เป็นพิษภัย การผลักดันกฎหมายก็จะสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า
หนึ่งในประเด็นที่ยังเป็นปัญหาต่อการจัดการบุหรี่ไฟฟ้า
คือมาตรการทางกฎหมายที่แยกส่วนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กชิ้นน้อย 4-5 ฉบับ และทั้งหมดมีข้อจำกัดในตัว
แม้อาจจะยังไม่เพียงพอแต่ในช่วงจังหวะที่สถานการณ์มีความรุนแรงก็จำเป็นจะต้องใช้ทั้งหมดไปก่อน
โดยสิ่งที่จะช่วยเสริมได้คือมาตรการทางการบริหาร
ซึ่งนายกรัฐมนตรีอาจใช้ความเด็ดขาดตรงนี้ได้ทันทีโดยที่ยังไม่ต้องมีกฎหมายใหม่
แต่ไปบังคับใช้ในสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว เช่น
ให้เจ้าหน้าที่มีส่วนต้องรับผิดชอบหากพบการจำหน่ายในพื้นที่ที่ดูแลอยู่ เป็นต้น
เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาไปได้พอสมควร
“แม้แต่ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายเต็มๆ ถามว่าวันนี้สถานการณ์ยาบ้าในประเทศไทยเป็นอย่างไร นี่เป็นภาพตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาระบบกระบวนการยุติธรรมของไทย นับประสาอะไรกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังมีช่องว่างช่องโหว่อยู่ ซึ่งเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ปัญหาคือรากฐาน ดังนั้นหากฝ่ายการเมืองเห็นแก่ลูกหลาน สามารถใช้มาตรการทางการบริหารไปได้ก่อนเลย เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาไปได้พอสมควร ส่วนมาตรการทางกฎหมายระยะยาวในอนาคต เชื่อว่าควรจะต้องมีการห้ามไม่ให้ครอบครองอย่างชัดเจน เพื่อที่ตำรวจจะไม่สามารถมีข้ออ้างในการดำเนินการตามกฎหมายได้” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
นายภูมินทร์ เล็กมณี ผู้อำนวยการฝ่ายเฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าและบริการ
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า สคบ.
มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ามานานนับตั้งแต่ที่มีการออกคำสั่งฯ ที่ 9/2558 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นของใหม่
แต่เมื่อพบว่าสินค้าชนิดนี้ก่อให้เกิดอันตรายได้มากมาย
จึงได้สั่งห้ามจำหน่ายเป็นการถาวร ซึ่งรวมไปถึงบารากู่ และน้ำยาเติมด้วย
อย่างไรก็ตาม
ในภายหลังได้มีผู้ประกอบธุรกิจหัวใส แยกชิ้นส่วนอุปกรณ์ในบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจำหน่าย
ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ดังนั้นล่าสุด สคบ.
จึงได้ออกคำสั่งฯ ที่ 9/2567 ที่เพิ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่
18 ก.ค. 2567 ซึ่งเพิ่มสาระสำคัญในเรื่องของการผลิตเพื่อจำหน่าย
ตลอดจนคำนิยามที่ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ที่เป็นส่วนควบทั้งหมดในการนำมาประกอบเป็นบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว
“ทาง สคบ. ยังมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ตั้งขึ้นมา เพื่อร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าจำนวนเจ้าหน้าที่เรามีน้อยมาก ในขณะที่สถิติการจับกุมก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี จาก 2.7 หมื่นชิ้น ในปี 2563 กลายเป็น 1 แสนชิ้นในปี 2567 สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าจึงน่าเป็นห่วงอย่างมาก และยังทราบว่าขณะนี้มีการเจาะลึกในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งจากการสอบถามลูกสาว ก็บอกว่าปัจจุบันมีการสูบกันเกินครึ่งห้องเรียน และในวัยรุ่นผู้หญิงหากใครไม่สูบก็จะไม่ถูกยอมรับให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย” นายภูมินทร์ กล่าว
นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความน่าเป็นห่วงของบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็กและเยาวชน คือเป็นสินค้าที่ไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กดีหรือไม่ดี เด็กรวยหรือจน เด็กที่มีการศึกษาสูงหรือต่ำ ซึ่งจะแตกต่างจากบุหรี่มวนในอดีตที่มักพบในเด็กกลุ่มเสี่ยง แต่บุหรี่ไฟฟ้ากลับระบาดไปถึงเด็กและเยาวชนในทุกกลุ่ม เนื่องด้วยหน้าตา กลิ่นสี รูปลักษณ์ และยังไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะในมิติการสูบเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังพบว่าร้านค้าหลายแห่งมีการจ้างวานให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้นำไปจำหน่าย โดยให้ค่าจ้างราววันละ 400-600 บาท
“บุหรี่ไฟฟ้ามีการพัฒนามาหลาย generation
แต่ที่น่ากลัวคือปัจจุบันมีการทำออกมาเลียนแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นกล่องลูกอม ถุงยางอนามัย อุปกรณ์การเรียน หรือแม้แต่กล่องนม
ฉะนั้นแม้จะไม่ต้องหลบซ่อน
แต่พ่อแม่ก็อาจไม่มีทางรู้เลยว่าลูกหลานของเขาแอบพกบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ และอยากเทียบว่าบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นเหมือนกับสินค้าทดลองในห้าง
เพราะอุตสาหกรรมยาสูบเขาก็ไม่ได้ต้องการให้สูบเพียงแค่บุหรี่ไฟฟ้า
แต่บุหรี่มวนก็ยังผลิตอยู่
และการที่จะข้ามไปสูบแบบมวนหรือสูบไปด้วยกันทั้งคู่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยาก”
นายพชรพรรษ์ กล่าว
น.ส.ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าว สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 กล่าวว่า หากสรุปบทบาทสื่อมวลชนกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอาจสรุปได้เป็น
8F ตั้งแต่
การจัดการกับข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่มากมาย (Full of information) โดยใช้สื่อรณรงค์ที่ลงลึกและเข้าถึงถูกที่ไปยังกลุ่มเป้าหมาย
(Fragmentation) เพื่อสื่อสารถึงข้อเท็จจริง (Fact)
ที่เป็นอันตรายให้คนรับรู้
และเท่าทันกับข้อมูลหลอกลวง (Fake) จากกลุ่มผลประโยชน์
ด้วยความรวดเร็ว (Fast) เพื่อให้เท่าทันกับสถานการณ์
ไม่ให้เกิดความล้มเหลว (Fail) ไม่ให้เด็กและเยาวชนมองบุหรี่ไฟฟ้าว่าเป็นเพื่อน
(Friend) แต่ให้มองว่าสิ่งนี้คือศัตรู (Foe)
ของพวกเขา
“ปัจจุบันช่องทางการรับสื่อของกลุ่มเด็กและเยาวชนเปลี่ยนไปมาก
ฉะนั้นเราอาจหายุทธศาสตร์ในการใช้ Creator หรือ Influencer
ต่างๆ ในโลกออนไลน์
มามีส่วนในการรณรงค์และสื่อสารถึงความจริงในมุมที่เป็นอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า
เพราะหากเราทุ่มเม็ดเงินไปกับการโฆษณารณรงค์งบประมาณก็อาจหมดไปสักวัน
แต่หากกลุ่มเหล่านี้เขามีความตระหนัก
ก็อาจมีส่วนในการช่วยเรารณรงค์ได้ตามสไตล์ของเขา เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้องค์ความรู้เข้าไปถึงเด็กและเยาวชนได้”
น.ส.ประวีณมัย กล่าว
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
กล่าวว่า เวทีสนทนานโยบายสาธารณะ หรือ Policy Dialogue ครั้งนี้
เป็นเวทีวิชาการที่ช่วยนำความเห็นที่หลากหลายในประเด็นเชิงนโยบายที่สังคมสนใจและให้ความสำคัญ
มาแลกเปลี่ยนแบบเปิดกว้างทางความคิดและมุมมองที่หลากหลาย
ซึ่งเชื่อว่าเวทีในวันนี้จะทำให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเกิดความตื่นตัว
ตระหนักถึงปัญหา และเกิดทางเลือกเชิงนโยบายที่เหมาะสมสำหรับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า
รวมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนเพื่อรับมือกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยต่อไป
พร้อมกันนี้
ภายในเวทียังได้มีการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สอบถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
รวมถึงให้ข้อเสนอแนะต่างๆ โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ
ภาคการเมือง ภาควิชาการ ตลอดจนกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา
ได้มาร่วมกันสะท้อนถึงข้อห่วงกังวลกับสถานการณ์ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน
พร้อมทั้งเรียกร้องและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
เดินหน้ามาตรการเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและยั่งยืนต่อไป
อนึ่ง
สำหรับหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัดเวทีในครั้งนี้ ประกอบด้วย
ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย
สภาองค์กรของผู้บริโภค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ