“เขาไม่ค่อยเชื่อมั่นคนรุ่นใหม่สักเท่าไร เข้าไปเป็นไม้ประดับ”
โลกหลังจากนี้จะเป็นของคนรุ่นใหม่
และเสียงของคนรุ่นใหม่ควรค่าแก่การรับฟังมากที่สุด
การเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายสาธารณะฯ ของ “เยาวชน-คนรุ่นใหม่” ด้วยการ “ลงมือทำ” ตั้งแต่เริ่มกระบวนการ จึงไม่ต่างไปจากการก่ออิฐเพื่อวางรากฐานประเทศ
ไปสู่อนาคตที่มุ่งหวัง
กองบรรณาธิการนิตยสารสานพลัง
ฉบับเดือน ต.ค. ๒๕๖๔ เต็มใจที่จะพูดคุยกับหนึ่งในตัวแทนคนรุ่นใหม่ “สุรพัศ์โยธิน
บูรณานนท์” หรือ “แบงค์” หนุ่มวัย ๓๐ ปี ที่มีประสบการณ์ในกระบวนการการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะที่หลากหลาย
ขอเชิญท่านผู้อ่านทำความรู้จักกับ “แบงค์” ไปพร้อมๆ กับรับฟัง “เสียงแห่งอนาคต” ไปพร้อมๆ กัน
--- เริ่มต้นจากโอกาส
ต่อยอดด้วยความสามารถ ---
หากนับเส้นทางการเข้ามามีบทบาทอันหลากหลายของแบงค์
อาจต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยที่อยู่ใน ระดับประถมจนถึงมัธยม ที่เขาได้มีโอกาสเป็นผู้นำในหลายกิจกรรม
รวมถึงการรับผิดชอบงานต่างๆ ภายในโรงเรียน ซึ่งเขายอมรับว่าโอกาสเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า
และฝึกฝนพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำได้
หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญของแบงค์ในช่วงเวลานั้น
คือบทบาทการทำงานภายใต้โครงการ TO BE NUMBER ONE
ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งผู้นำชุมชนและผู้นำท้องถิ่นท้องที่ได้ชักชวนให้เขาเข้ามาร่วมขับเคลื่อนงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน
ทำหน้าที่เป็นประธานชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับชุมชน
ที่มีผลการดำเนินงานดีเด่น ระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ
กิจกรรมเหล่านี้เองที่เป็นการจุดประกายให้เขาเข้ามาสู่เส้นทางของงานขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ภายหลังจากที่เขาได้มุ่งมั่นรักษามาตรฐานการทำงานระดับชุมชน ที่เป็นต้นแบบของโครงการในระดับประเทศ
ช่วงเวลาเดียวกันกับการเกิดขึ้นของ พ.ร.บ. ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๕๐ ที่มาพร้อมกับการตั้ง “สภาเด็กและเยาวชน” ขึ้นทั่วประเทศ
ณ
ช่วงเวลาราวปี ๒๕๕๖ เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนเทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์
อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
ซึ่งเป็นอีกโอกาสการทำงานครั้งสำคัญที่เขาได้เชื่อมโยงกลุ่มเครือข่ายเด็ก เยาวชน นักเรียน
นิสิต นักศึกษา ที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ทั้งในชุมชนและสถานศึกษา มาร่วมกันดำเนินกิจกรรมการพัฒนา
ตัวอย่างผลงานเช่น
การจัดกิจกรรมบวชสามเณรเฉลิมพระเกียรติฯ การออกค่ายอาสาเพื่อสร้างอาคารเรียน
ที่ต้องใช้งบประมาณกว่า 7-8 แสนบาท
หากแต่เครือข่ายของเขาสามารถระดมทุนได้ด้วยการบูรณาการใช้ฐานทรัพยากรในพื้นที่ โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ
ด้วยการระดมเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทราบริษัท ห้างร้าน หรือโรงงานต่างๆ
ที่มีอยู่จำนวนมากในพื้นที่ซึ่งเป็นเขตเมืองและอุตสาหกรรม
เมื่อทำงานอย่างขันแข็งในระดับเทศบาล
จึงไม่ยากนักที่เขาจะก้าวขึ้นมาสู่ประธานสภาเด็กและเยาวชนระดับอำเภอ ระดับจังหวัด กระทั่งขึ้นไปในระดับชาติด้วยการเป็นตัวแทนเยาวชนใน
คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
ที่ได้เข้าไปทำหน้าที่ในการสะท้อนปัญหา รับฟังเสียงจากเยาวชนข้างล่าง เพื่อนำไปสื่อสารสู่ข้างบน
จากงานด้านเด็กและเยาวชน
และได้เชื่อมโยงการทำงานร่วมกับเครือข่ายองค์กรชุมชน ปัจจุบันแบงค์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในอีกสองบทบาทสำคัญ
หนึ่งคือ
บอร์ดกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต ตาม
พ.ร.บ. มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (สปท. ป.ป.ท.) รวมถึงเป็นผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานส่งเสริมประชาธิปไตยและตรวจสอบการเลือกตั้ง
ตลอดจนทั้งบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ
สภาองค์กรชุมชนระดับชาติ ตาม พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชน ซึ่งสามารถเป็นแกนหลักในการทำหน้าที่บูรณาการทำงานร่วมกันทั้งเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่
เครือข่ายผู้นำองค์กรชุมชน กว่า ๗,๗๐๐ ตำบลทั่วประเทศ
อีกหนึ่งคือบทบาทในกลไกของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) และสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งการเป็นคณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.)
เขตพื้นที่ ๖ คณะกรรมการจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ ไปจนถึงบอร์ดคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(คสช.)
--- การ ‘มีส่วนร่วม’ ที่ ‘ไม่ได้มีส่วนร่วม’
---
เมื่อย้อนดูเส้นทางการมีส่วนร่วมของตัวแทนคนรุ่นใหม่รายนี้
แน่นอนว่านั่นแสดงถึงโอกาสของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ได้เข้าไปมีบทบาทในกลไกต่างๆ
ของสังคมมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ดีเขาได้สะท้อนถึงปัญหาที่พบพานจากประสบการณ์ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา
คือ “การมีส่วนร่วมแบบไม่มีส่วนร่วม”
“การสู้เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าไปมีพื้นที่ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะที่ผ่านมาแนวคิดของคนรุ่นเก่า อาจจะไม่ค่อยเชื่อมั่นคนรุ่นใหม่สักเท่าไร
เลยไม่ได้เปิดพื้นที่ให้ หรือถึงเปิดให้เข้าไปมีส่วนร่วม ก็เป็นแบบที่ไม่มีส่วนร่วมจริง
คือถูกบงการ หรือไปเป็นไม้ประดับ หรือทำพอเป็นพิธี ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นการมีส่วนร่วมเลย” สุรพัศ์โยธิน ระบุ
เขายกตัวอย่างกลไกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ซึ่งที่๋ผ่านมาได้มีทิศทางที่เปิดให้ตัวแทนเยาวชนหรือเครือข่ายนิสิตนักศึกษาเข้าไปมีส่วนร่วมภายในงาน
หากแต่ก็เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมที่อยู่ปลายทาง ไม่ได้เป็นการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นทาง
หรือในขั้นตอนของเวทีรับฟังความคิดเห็น ที่มีกระบวนการคิดกำหนดประเด็นขึ้นมาตั้งแต่แรก
“การให้เด็กได้มีส่วนร่วมจริง มันต้องตั้งแต่ได้ร่วมคิด ร่วมรับผิดชอบ
ร่วมดำเนินการ ร่วมติดตามและร่วมประเมินผล ไม่ใช่การเข้าร่วมงานแค่ปลายทาง ที่จัดงานจนกำลังจะเคาะมติออกมาแล้วค่อยเชิญเข้ามา
เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้ชอบเท่าไร เหมือนไปร่วมแล้วความเห็นเขาก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
สุดท้ายก็เลยไม่ได้อินกับสิ่งที่เข้าไปมีส่วนร่วมนั้น” สุรพัศ์โยธิน
สะท้อนมุมมองที่มาจากคนรุ่นใหม่
เขาเน้นย้ำไปถึงหลักการจากสภาเด็กและเยาวชน
ที่ยึดถือในแนวคิด “เด็กคิด เด็กทำ เด็กนำ ผู้ใหญ่หนุน” จึงจะเป็นการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนที่ชัดเจน
ภายใต้การปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ
ฉะนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าจะยึดเอาความคิดของเด็กเพียงอย่างเดียว เพราะอาจไม่ได้มีประสบการณ์มาก
แต่อย่างน้อยก็ให้ได้มีส่วนที่เข้าไปอยู่ในระบบกลไกในการเป็นปากเป็นเสียง สะท้อนมุมมองที่เขาต้องการได้
จากภาพที่ปรากฏดังกล่าว
เมื่อตัวเขาเองได้รับโอกาสเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละกลไก
เขาจึงไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนั้นในการผลักดันและทะลวงแนวคิดเหล่านี้
เพื่อให้เกิดการยอมรับบทบาทของเด็กและเยาวชน คนรุ่นใหม่มากขึ้น
โดยเฉพาะการอุดช่องว่างระหว่างเด็กและผู้ใหญ่
ซึ่งเขามักจะเข้าไปเป็นตัวเชื่อมตรงกลางเพื่อให้กระบวนการทำงานนั้นราบรื่นมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาสู่ยุคของ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ที่มุ่งมั่นในการหนุนเสริมบทบาทเด็กและเยาวชน
คนรุ่นใหม่ เขาจึงมองว่าเมื่อไรที่ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้วเครือข่ายต่างๆ
ได้มีการพบปะกันเพิ่มขึ้น คิดว่าการทำงานร่วมกันระหว่างคนรุ่นใหม่และเครือข่ายองค์กรต่างๆ
จะไปได้ดีกว่านี้ เนื่องด้วยทัศนคติและความเข้าใจในบทบาทที่ดีต่อกันมากขึ้น
“เชื่อว่าหลายหน่วยงานเริ่มมาถูกทาง ที่ได้เริ่มมีการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม
ทั้งกลไกของ สช. รวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปตามบริบท
ผู้ใหญ่หลายคนเริ่มเข้ามารับฟังและช่วยหนุนเสริมองค์ความรู้ ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็จะมีทักษะในเรื่องของเทคโนโลยี
หรือสื่อ ที่จะมีส่วนช่วยเติมเต็มการทำงานได้อีกมาก”
แบงค์เผยมุมมอง
--- มุ่งเป้าผลักดันบทบาท
‘เด็กและเยาวชน’ ---
ในทางหนึ่งคือเมื่อช่วงหลังมีกระแสที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นแล้ว
แต่ในอีกด้านเครือข่ายเยาวชนเองก็ต้องร่วมกันทำความเข้าใจ
ถึงหน้าที่ในการช่วยกันคัดกรองเพื่อให้ได้ผู้ที่สนใจทำงานจริงเข้ามามีส่วนร่วมในกลไก
เพราะในแง่หนึ่งก็อาจมีเยาวชนบางส่วนที่สนใจเพียงการได้ผลงานไปประกอบประวัติส่วนตัว
แต่ไม่ใช่ผู้ที่สนใจทำงานจริง
สุรพัศ์โยธิน
ยืนยันว่าเครือข่ายคนรุ่นใหม่จากกลไกของสภาเด็กและเยาวชน
เมื่อมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมในกลไกการทำงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาองค์กรชุมชน
หรือกระบวนการธรรมนูญสุขภาพ เหล่านี้ก็ได้เสริมให้พวกเขามีความคิดที่แหลมคมมากขึ้น
ได้เกาะติดในประเด็นสถานการณ์ปัญหา รู้จักการวิเคราะห์เชื่อมโยงที่จะสามารถนำไปสู่การทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้จริง
ขณะเดียวกันเมื่อตัวของเขาเองได้รับโอกาสมามากมาย
แบงค์จึงเน้นย้ำความสำคัญในเรื่องของการ “มอบโอกาส”
เปิดพื้นที่เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาทักษะอยู่ต่อเนื่อง
ดังนั้นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญเมื่อเขาก้าวเข้ามามีบทบาทใน คสช. คือการเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่
และที่สำคัญคือการผลักดันให้เกิด “สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นเด็กและเยาวชน”
“ช่วงเวลาราว ๒ ปีกว่าในวาระที่เหลือ ผมจะพยายามผลักดัน คสช. จัดให้มีกลไกสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นเด็กและเยาวชน
ที่เป็นบทบาทให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในประเด็นสุขภาวะ ผนึกกับกลไกสภาเด็กและเยาวชนที่มีตั้งแต่ในระดับตำบลไปจนถึงระดับชาติ
มีเครือข่ายผู้นำเยาวชนซึ่งเป็นคณะบริหารสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับหลายแสนคนทั่วประเทศ
ซึ่งเชื่อว่าผู้ใหญ่จะสนับสนุนแนวคิดในการผลักดันเรื่องนี้” สุรพัศ์โยธิน อธิบายความมุ่งมั่น
นอกจากบทบาทการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่
แบงค์เองยังหมายรวมถึง “คนหน้าใหม่” ด้วย เพราะในบางครั้ง บางเวที ที่เขาพบเห็นเครือข่ายเด็กและเยาวชนก็อาจเป็นตัวแทนรายเดิมๆ
ที่อยู่มานาน ซึ่งอาจไม่ได้เปิดโอกาสให้เยาวชนรายใหม่ๆ เข้ามามีส่วนร่วม
เพราะเขาเชื่อว่าการมีตัวแทนที่หลากหลาย ก็จะได้มุมมองแนวคิดที่หลากหลายมาช่วยเติมเต็มด้วยเช่นกัน
--- เป้าหมายสำคัญต้องเปลี่ยนทั้ง
‘โครงสร้าง’ ---
เมื่อพูดถึงหนทางที่จะพัฒนาการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนต่อไปในอนาคต
สุรพัศ์โยธิน มองไปถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้าง ที่จะต้องเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในกลไกต่างๆ
ให้ “มากที่สุด” เท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการคิดนโยบายหรือกฎหมายใดๆ นั่นก็เพราะเด็กและเยาวชนมีความเกี่ยวข้องในเกือบทุกด้าน
และต้องเรียนรู้ตั้งแต่ปัจจุบัน เพื่อให้เขามีส่วนร่วมในการออกแบบ เสนอแนะ
และร่วมกำหนดอนาคตของเขาเอง เพราะเด็กและเยาวชนเป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตของชาติ
หนึ่งในไอเดียที่เขาได้ร่วมพูดคุยและถึงขั้นที่จะผลักดันเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย
คือการเปิดพื้นที่ให้มี “ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน” ที่เป็นเยาวชนขึ้นมา เพื่อให้ได้ร่วมเรียนรู้และมีหน้าที่ในการช่วยผู้ใหญ่บ้านดูแลงานตาม
พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ ซึ่งอย่างน้อยจะเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นให้เยาวชนได้เรียนรู้การทำงานตั้งแต่ต้นในพื้นที่ระดับฐานราก
“สิ่งที่เราพยายามผลักดันคือการเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้าง โดยเปิดพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งทุกกลไกควรจะต้องมีผู้แทนเด็กและเยาวชนอยู่ อย่างน้อยคือไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่เข้าไปพูดแทนเด็ก
ไปอ่านเอาจากข้อมูลวิจัยอะไรมาก็ไม่รู้ ฟังเด็กไปเลยดีกว่า ให้เขาได้เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งรวมในกลไกไปเลย
โดยเฉพาะอันไหนที่เปลี่ยนได้ง่ายๆ ที่เราทำได้โดยไม่ต้องรอกฎหมาย ก็เปิดให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วมได้เลย” สุรพัศ์โยธิน ฉายภาพแนวคิด
ในอีกแง่หนึ่ง
เขายอมรับปัญหาในปัจจุบันที่มีรอยร้าวหรือช่องว่างที่เกิดขึ้น
ระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อน โดยเฉพาะกับหน่วยงานภาครัฐ ที่เด็กสมัยนี้อาจไม่ได้เกรงกลัวต่ออำนาจเหมือนสมัยก่อน
ฉะนั้นการยิ่งใช้อำนาจเข้าไปข่ม ก็จะยิ่งเกิดการต่อต้านที่มากยิ่งขึ้น
คำแนะนำของแบงค์ในการดึงเอาคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม
คือการดึงตัว “Elite” หรือผู้นำโดยธรรมชาติของเขาเหล่านั้นให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทำงาน
ซึ่งพวกเขาเหล่านี้เองที่จะสามารถมีวิธีในการเชื่อมโยงกับรายอื่นๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมได้
สร้างบรรยากาศให้รู้สึกว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเขา
และจะช่วยลดการตั้งคำถามหรือตั้งแง่ลงไปได้