บทเรียนจากทั่วโลก เมื่อชีวิตบั้นปลายและการตายดี ‘มีราคาที่ต้องจ่าย’20 เมษายน 2565
ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับ “การตายดี” (Good Death) ซึ่งเป็นความปรารถนาสูงสุดของผู้คนจำนวนมาก ทว่าการตายดีนั้นไม่ใช่ของถูก ในหลายประเทศมี “ราคาที่ต้องจ่าย” ไม่น้อย คนจำนวนหนึ่งจึงไม่อาจเข้าถึงการตายดีได้
แม้ว่าความตายจะมีความเสมอภาค แต่ “การตายดี” กลับกลายเป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
‘ตายดี’ ในมุมมองสากล
ตามคำนิยามของ National Academy of Medicine (NAM) การตายดีคือ “การเป็นอิสระจากความเครียดและความเจ็บปวดทรมานของผู้ป่วย ครอบครัว และผู้ดูแล โดยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้ป่วยและครอบครัวต้องการ แต่จะต้องถูกต้องตามมาตรฐานทางการแพทย์ วัฒนธรรม และจริยธรรม”
การที่คนๆ หนึ่งจะตายดีได้นั้น ย่อมสัมพันธ์กับอีกหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกกระบวนการหรือวิธีการตายที่ต้องการ การมีองค์ประกอบทางศาสนาและจิตวิญญาณมาสนับสนุน การมีสุขภาพจิตที่ดี การได้รับการรักษาแบบที่ต้องการ การมีชีวิตอยู่และจากไปอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี การมีครอบครัวอยู่เคียงข้างในวาระสุดท้ายของชีวิต การมีคุณภาพชีวิตที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ดูแล ฯลฯ
ว่ากันตามจริง การตายดีคือการผสมองค์ประกอบต่างๆ เพื่อเติมเต็มผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตให้มีความสมบูรณ์ในทุกแง่มุม ซึ่งนอกจากผู้ที่จะออกเดินทางไกลแล้ว ครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังก็ต้องได้รับการดูแลด้วย
แน่นอนว่า สิ่งที่ขัดขวางหนทางไปสู่การตายดีในหลายประเทศก็คือ “ค่าใช้จ่าย” เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ของผู้ที่กำลังจะจากไป ซึ่งมีหลายกรณีที่ผู้ที่อยู่ข้างหลังกลับทุกข์ระดม เพราะต้องเผชิญกับหนี้สินก้อนโต
อย่างไรก็ดี ในบางประเทศ-บางรัฐ ได้หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการตายดี และสนับสนุนการตายดีในฐานะส่วนหนึ่งของสวัสดิการอันพึงมีของประชาชน มากไปกว่านั้นในประเทศที่ก้าวหน้า เช่น ประเทศไทย ได้กำหนดให้ “การตายดี” เป็นสิทธิของพลเมืองทุกคน
สนนราคาที่นานาประเทศต้องจ่าย
องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้คำจำกัดความของการดูแลรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) ว่าเป็นวิธีการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยให้การป้องกัน บรรเทาอาการ ตลอดจนการบรรเทาความทุกข์ทรมานด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เป็นการดูแลแบบองค์รวมครอบคลุมทุกมิติของสุขภาพ อันได้แก่ กาย ใจ ปัญญา และสังคมของผู้ป่วย
การดูแลในช่วงท้ายสุดของชีวิต-การดูแลแบบประคับประคอง (Elderly Care / Palliative Care) ของให้ผู้บริการชื่อดังใน “สหราชอาณาจักร” อย่าง Helping Hands ที่เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1989 สนนราคาการดูแลผู้ป่วย-ผู้สูงอายุ อยู่ที่สัปดาห์ละ 1,325 ปอนด์ หรือประมาณ 58,300 บาท
กรณีต้องการเรียกผู้ดูแลไปดูแลที่บ้านจะต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง เฉลี่ยอยู่ที่ชั่วโมงละ 20 ปอนด์ หรือประมาณ 880 บาท นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเสริมอื่นๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าล่วงเวลา ค่าบริการพิเศษ ที่ต้อง on top ขึ้นไปอีก
ใน “สหรัฐอเมริกา” ค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลแบบประคับประคองโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 95 – 400 เหรียญสหรัฐ หรือราว 3,080 – 12,900 บาท ซึ่งจะขึ้นอยู่กับบริการ-แพคเกจที่ผู้ป่วยและครอบครัวเลือก
การดูแลที่บ้านจะมีค่าใช้จ่ายภาพรวมถูกกว่าการดูแลในโรงพยาบาล และสำหรับบริการบ้านพักคนชราที่ดูแลครอบคลุมจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต คิดค่าใช้จ่ายรายปีของห้องเดี่ยวอยู่ที่ 105,850 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 3.4 ล้านบาท
ที่ “สิงคโปร์” รัฐบาลสิงคโปร์ตระหนักดีถึงภาวะสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จึงได้เริ่มผลักดันเรื่องของ Elderly Care / Palliative Care มาตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 2010 โดยเน้น 3 หลักการสำคัญ ได้แก่ 1.จัดการดูแลอาการป่วย 2. การดูแลระยะสุดท้าย 3. การช่วยเหลือด้านสภาพจิตใจและความเศร้าโศก
นับว่าสิงคโปร์มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้สนับสนุนทางการเงินมากเท่าใดนัก นั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้ยังสูงอยู่ โดยค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยที่ดูและรักษาในโรงพยาบาลจะอยู่ที่วันละ 75 – 311 สิงคโปร์ดอลลาร์ (1,800 – 7,500 บาทโดยประมาณ) ส่วนการดูแลที่บ้านจะอยู่ที่วันละ 200 สิงคโปร์ดอลลาร์ (4,800 บาทโดยประมาณ)
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลระยะสุดท้ายของชีวิตอันจะส่งผลถึงการตายดีมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และแน่นอนว่าจะกลายเป็นปัญหาที่ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดต้องเผชิญ
‘การตายดี’ สวัสดิการที่รัฐพึงจัดหาให้
ในบางแห่งของโลก การดูแลในช่วงบั้นปลายของชีวิตถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่ประชาชนพึงได้รับ
“ออสเตรเลีย” ประเทศที่มีระบบสวัสดิการและมีหลักประกันสุขภาพที่เข้มแข็งอย่าง “Medicare” การรักษาแบบประคับประคองนั้นรวมอยู่ในสิทธิ Medicare เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนในระบบนั้นไม่ต้องเผชิญกับภาระค่าใช้จ่าย ทั้งต่อตนเองและครอบครัว เพียงแต่อาจต้องจ่ายเพิ่มเติมเมื่อต้องการเครื่องมือพิเศษ บุคลากรพิเศษ หรือยาที่นอกเหนือจากบัญชีของ Medicare แต่ท้ายที่สุดก็จะมีสิทธิสวัสดิการหรือหลักประกันส่วนอื่นมาสนับสนุน
“สวีเดน” เป็นอีกประเทศหนึ่งที่สนับสนุนให้ผู้ที่กำลังเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อจากไปอย่างมีความสุขที่สุด รัฐบาลสวีเดนเชื่อว่ายิ่งดูแลผู้สูงอายุดีเท่าไหร่ พวกเขาก็จะสุขภาพดี มีความสุข และจะจากไปอย่างสงบที่สุด
นั่นจะเป็นผลดีต่อประเทศโดยภาพรวม จึงมีการตรา “พ.ร.บ.การบริการทางสังคม” (Social Service Act) ได้กำหนดให้แต่ละพื้นที่การปกครองต้องรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุ สนับสนุนด้านงบประมาณโดยภาษีของพื้นที่และรัฐบาล โดยในปี 2020 งบประมาณส่วนนี้สูงถึง 1.35 แสนล้านโครนา (ประมาณ 4.64 แสนล้านบาท)
ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุนั้นถูกกำหนดโดยหน่วยงานปกครองในพื้นที่ต่างๆ คำนวณจากเหตุและองค์ประกอบตามลักษณะของพื้นที่ แต่โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 2,200 โครนา (7,500 บาทโดยประมาณ) ต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับเงินบำนาญผู้สูงอายุที่ได้รับตามสิทธิสวัสดิการประมาณ 13,300 โครนา (45,600 บาทโดยประมาณ) ต่อเดือน รวมเข้ากับการอุดหนุนต่างๆ ของรัฐบาลและกองทุนสวัสดิการอื่นๆ ก็นับได้ว่าค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของผู้สูงอายุในสวีเดนถือว่า “ถูก” มาก
ทั้งออสเตรเลียและสวีเดน เป็นไม่กี่ประเทศที่ให้การสนับสนุนการดูแลในช่วงบั้นปลายของชีวิตและมุ่งหวังให้ทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดจนถึงวันสุดท้าย รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดปัญหาภาระทางการเงินให้กับครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดอีกด้วย นี่เป็นส่วนสำคัญของการก่อให้เกิด “การตายดี” อย่างมาก เพราะทุกข์จากภาระทางการเงินเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาและขัดขวางการตายดีได้
ประเทศไทย ‘การตายดี’ ฟรีตามสิทธิ
สำหรับประเทศไทยการตายตามธรรมชาติ หรือ “การตายดี” เป็นสิทธิของประชาชนที่มี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ให้การรับรองไว้ โดยมี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นองค์กรสานพลังภาคีเพื่อขับเคลื่อนให้มาตรา 12 เป็นที่รู้จัก
สำหรับสาระสำคัญของมาตรา 12 คือการให้ “สิทธิ” ทุกคนสามารถ ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตได้
กรณีนี้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเลือกตายอย่างสงบ โดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การเร่งตายแบบการุณยฆาต และกฎหมายยังรับรองว่าแพทย์ที่ทำตามหนังสือแสดงเจตนาฯ ของผู้ป่วยไม่มีความผิดใดๆ
ผู้ป่วยสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ในขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน โดยส่งสำเนาเก็บในเวชระเบียนหรือมอบให้แพทย์ผู้รักษาไว้
เมื่อเลือกที่จะใช้สิทธิการตายตามธรรมชาติ ผู้ป่วย ครอบครัว และแพทย์ จำเป็นต้องวางแผนร่วมกันที่จะดูแลแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยในวาระสุดท้ายมีความสะดวกสบายและพ้นจากความทรมานมากที่สุด
นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้สนับสนุนการดูแลแบบประคับประคอง โดยมีเป้าประสงค์ให้เกิดการดูแลที่บ้านสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของครอบครัวที่ต้องมาดูแลผู้ป่วยที่โรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล
จึงมีการบรรจุชุดสิทธิประโยชน์สำคัญอย่างน้อย 3 รายการ เพื่อเบิกจ่ายที่ครอบคลุมผู้ป่วยทุกกลุ่มโรคที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายตามหลักเกณฑ์ที่กรมการแพทย์กำหนด คือ 1. ยามอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการปวด 2. ชุดทำความสะอาด 3. ออกซิเจนพร้อมอุปกรณ์ร่วมกับการติดตามอาการตามความเหมาะสม
สำหรับการจัดบริการ หน่วยบริการประจำที่ให้บริการการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองทั่วประเทศ จะจัดบริการร่วมกับหน่วยบริการปฐมภูมิที่เป็นเครือข่ายคลัสเตอร์บริการปฐมภูมิ (PCC) โดยผู้ที่ต้องการเข้าสู่การดูแลแบบประคับประคอง จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ผลักดัน ‘ประกันเอกชน’ ให้สิทธิประโยชน์คนเลือกตายดี
อย่างไรก็ดี แม้ว่าประเทศไทยจะมีการบัญญัติให้สิทธิแก่คนไทยสามารถเลือกที่จะตายดีได้ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 หากแต่ทุกวันนี้ก็ยังมีกำแพงขนาดใหญ่ที่ต้องช่วยกันทำลายให้พังครืนลงมา
ปราการขนาดมหึมานั้น เป็นตัวกั้นขวางทัศนคติจนทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร อุปนายกสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย บอกว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องการดูแลแบบประคับประคองคือช่องทางการเข้าถึง เพราะมีความทับซ้อนในช่วงก่อนที่จะเริ่มกระบวนการดูแล เพราะต้องได้รับการส่งไม้ต่อจากแพทย์ที่ทำการรักษาโรคก่อน ขณะเดียวกันแพทย์ด้านการดูแลประคับประคองในประเทศไทยก็ยังมีสัดส่วนที่น้อย
แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือประเด็นเรื่องการรับรู้เรื่อง เพราะแนวทางการดูแลแบบประคับประคองมักจะอยู่ตรงข้ามกับข่าวสารที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม ตัวอย่างเช่น ป้ายโฆษณาที่พยายามส่งกำลังใจด้วยประโยคว่า “ต้องสู้จนหยดสุดท้าย” ที่ทำให้ผู้ป่วย ญาติ หรือคนรอบข้างมีทัศนคติหรือการตัดสินใจที่มุ่งไปสู่การยื้อชีวิตของผู้ป่วยให้นานที่สุด
“อยากขอความร่วมมือจากเครือข่ายต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงคนได้จำนวนมาก ใช้ช่องทางเหล่านี้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เพราะเมื่อโรคดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย จะทำให้ผู้ป่วยต้องแบกรับความทรมานจากกระบวนการการรักษา” ศ.นพ.อิศรางค์ กล่าว
ทางด้าน ศ.พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงษ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้จัดเสวนาระหว่าง สช. กับบริษัทประกันภัย และองค์กรที่เกี่ยวข้องรวมถึงชีวามิตรด้วย เพื่อที่จะผลักดันประเด็นเรื่องการตายดีผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้การดูแลแบบประคับประคอง สามารถทำได้ทั้งที่โรงพยาบาล และที่บ้าน
ในกรณีทำที่บ้านจะให้ทางบริษัทประกันชีวิตเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกให้ผู้ป่วยได้เอาค่าใช้จ่ายที่ประกันรับผิดชอบที่ต้องเป็นค่ารักษา มาใช้ในช่วงสุดท้ายก่อนจากไปอย่างมีความสุข โดยตอนนี้กำลังมีการศึกษามิติทางเศรษฐศาสตร์ว่าประหยัดงบประมาณในการรักษา และประหยัดในทางสังคมเท่าไหร่
อีกเรื่องที่ผลักดันควบคู่กันไป คือพินัยกรรมชีวิต (Living Will) ซึ่งเป็นการเลือกวางแผนได้เลยตั้งแต่ก่อนจะที่ป่วยว่ามีความต้องการที่จะตายดี และต้องไม่มีใครมายื้อความตายนี้ โดยแนวทางวางไว้ว่าบริษัทประกันจะสามารถแนบใบพินัยกรรมชีวิตให้พิจารณาเป็นทางเลือกในขั้นตอนการแนะนำได้เลยหรือไม่ เพื่อให้ทุกคนได้ตัดสินใจตั้งแต่แรก
“ตายดีไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์ฉับพลันอย่างเกิดอุบัติเหตุแล้วคนจะห้ามมาช่วยชีวิต แต่หมายถึงเมื่อเกิดเป็นโรคที่มีสัญญาณแน่ชัดว่าจะต้องจากไป ผู้ป่วยก็ควรมีสิทธิที่จะต้องเลือก” ศ.พิเศษ กิติพงศ์ ระบุ
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร "สานพลัง" ฉบับเดือนมีนาคม 2565