สานพลัง 7 ภาคี ร่วมสร้างขอนแก่นจังหวัดเข้มแข็ง สนับสนุนการบูรณาการสู่ความร่วมมือ นำร่องพัฒนาจังหวัดขอนแก่นน่าอยู่ ขับเคลื่อนสุขภาวะระดับพื้นที่
2 พฤษภาคม 2568
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.
2 พฤษภาคม 2568 ที่ห้องประชุม 3 อาคาร HS05 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 
สานพลังภาคีอาสา จ.ขอนแก่น จัดประชุม “สานพลังภาคีอาสา สร้างจังหวัดเข้มแข็ง” ภายใต้การทำงาน ภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง หรือ ภสพ. แลกเปลี่ยนเรียนรู้การและกำหนดทิศทาง โดยการใช้ข้อมูลแก้ไขปัญหาสำคัญในพื้นที่เฉพาะ สนับสนุนการบูรณาการความร่วมมือ จ.ขอนแก่นน่าอยู่ สู่การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมนำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เรียนรู้รูปธรรมความสำเร็จ ที่ เทศบาลตำบลสาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น 
นพ.สุเทพ เพชรมาก #เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของ สช. เราคิดว่าเรื่องสำคัญที่ทำให้คนสุขภาพดี และมี Well-being คือการทำนโยบายสาธารณะที่ดี และที่สำคัญต้องมีส่วนร่วม ซึ่งใน พ.ร.บ.สุภาพแห่งชาติ  ก็มีกลไกของพื้นที่ เช่น สมัชชาสุขภาพจังหวัด กรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน และยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถทำนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อตอบโจทย์เรื่องการสร้างสังคมสุขภาวะที่แท้จริง 
สำหรับจังหวัดขอนแก่นที่มีทุนทางสังคมเยอะ ซึ่งครั้งนี้เป็นพื้นที่บูรณาการจังหวัดแรก สิ่งสำคัญคือหัวใจที่จะบูรณาการร่วมกัน และครั้งนี้เป็นโอกาสที่จังหวัดขอนแก่นจะสานพลังรวมเครือข่ายในพื้นที่ และหน่วยงานส่วนกลางที่จะมาร่วมสนับสนุน พร้อมทั้งเป็นโอกาสที่จะสร้างคนรุ่นต่อไปให้มาสานพลังทำงานอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ #ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า  “การทำงานของภาคีอาสาของ จ.ขอนแก่น ขับเคลื่อนกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมในระดับจังหวัด จัดการปัจจัยกำหนดสุขภาพที่สำคัญของจังหวัด ลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต โดยแผนขับเคลื่อนปี 2568 ของ ภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (ภสพ.) เริ่มต้นใน 5 จังหวัดเข้มแข็ง ได้แก่ เชียงราย นครสวรรค์ ขอนแก่น ตราด และพัทลุง และในปี 2569 ขยายผลครอบคลุม 13 เขตสุขภาพ สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนทั้งการลดอัตราการป่วย การเพิ่มการเข้าถึงบริการ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต การบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้นำข้อมูลประชากร ข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ อายุคาดเฉลี่ย และระบบฐานข้อมูลภาคีอาสา เพื่อสร้างข้อตกลงแผนงานยุทธศาสตร์การทำงานระดับจังหวัด” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ #ผู้จัดการกองทุนสสส. กล่าวว่า ดัชนีความมั่นคงทางสุขภาพของไทยอยู่ที่อันดับ 5 ของโลก โดยข้อมูลอายุคาดเฉลี่ยปี 2567 อยู่ที่ 76.56 ปี เป็นอันดับ 78 ของโลก ข้อมูลปี 2565 พบสาเหตุการตายในกลุ่มอายุน้อยและวัยทำงาน 170,000 คน เกิดจากอุบัติเหตุและโรคไม่ติดต่อ NCDs จึงเกิดการสร้างเสริมสุขภาพสานพลังระดับพื้นที่ มีเป้าหมายหลักของแผนงานสร้างจังหวัดเข้มแข็ง เพื่อลดช่องว่างทางสังคม และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เพื่อทำให้ประชากรมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับ 5 ปัจจัยหลัก 1. พฤติกรรมสุขภาพ 2. สิ่งแวดล้อม 3. ชุมชนเข้มแข็ง 4. ระบบบริการสุขภาพ 5. นโยบายสาธารณะดี ทั้ง 7 หน่วยงานบูรณาการข้อมูลทำความร่วมมือในรูปแบบ “ภาคีอาสา” สร้างจังหวัดเข้มแข็ง สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจแก้ปัญหาได้ในพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการสร้างโอกาสให้ประชาชนในระดับพื้นที่ ขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพของประเทศ
ผศ.ดร.วิบูลย์ วัฒนนามกุล #สมัชชาสุขภาพจังหวัดขอนแก่นและคณะทำงานภาคีอาสาจังหวัดขอนแก่น (ภสพ.จังหวัดขอนแก่น) กล่าวว่า จ.ขอนแก่น มีความท้าทายในการพัฒนาอยู่หลายมิติ เช่น ปัญหาสุขภาพ เศรษฐกิจ การศึกษา การสร้างพื้นที่เรียนรู้ สังคม สิ่งแวดล้อม การจัดการอาหารปลอดภัยและการคุ้มครองผู้บริโภค จึงต้องมีการกำหนดประเด็นที่ครอบคลุมกับปัญหาในพื้นที่ โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ในแต่ละด้าน เพื่อพัฒนากลไกให้ครอบคลุม รวมถึงการกำหนดแผนปฏิบัติการระยะสั้น ไปจนถึงระยะยาว สำหรับพื้นที่บ้านสาวะถี ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น มีต้นทุนทางชุมชน เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา การจัดกระบวนการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม กลุ่มเปราะบาง และอาหารปลอดภัย และให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดการพัฒนา มีประสบการณ์ในการทำข้อมูลตำบล โดยใช้โปรแกรม Thailand Community Networking Appraisal Program-TCNAP (TCNAP) ที่นำมาใช้ดำเนินงานตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ชุมชน สะท้อนความพยายามของชุมชนในการจัดการและแก้ปัญหาของพื้นที่ ส่งผลให้เกิดเป็นชุมชนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
“เทศบาลตำบลสาวะถี พัฒนาตำบลสุขภาวะผ่านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การจัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในชุมชน การบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กออทิสติก และส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของครอบครัว การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชน โดยใช้กลไกกองทุนสวัสดิการชุมชนเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงทางสังคม การพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วยสื่อศิลปวัฒนธรรม เช่น ห้องเรียนมัคคุเทศก์น้อย ปลูกฝังคุณค่าและสร้างสุขภาวะในโรงเรียน การจัดการอาหารปลอดภัยในระดับชุมชน ด้วยการส่งเสริมการปลูกพืชผักปลอดสาร การมีแปลงเกษตรตัวอย่าง และการมีส่วนร่วมของครัวเรือน ส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมโดยเยาวชนผ่านบทบาทมัคคุเทศก์น้อย ช่วยอนุรักษ์และถ่ายทอดเรื่องราวจากจิตรกรรมฝาผนังวัด ร่วมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในชุมชน” ผศ.ดร.วิบูลย์ กล่าว
นางปรียา สมทรัพย์ #ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เทศบาลตำบลสาวะถี มีจำนวนประชากร ทั้งหมด 18,125 คน เพศชาย 8,989 คน เพศหญิง 9,136 คน จำนวนครัวเรือน 5,213 ครัวเรือน 24 หมู่บ้าน ได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่กับองค์การบริหารส่วนตำบลดงมูลเหล็ก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ในปี 2555 และได้พัฒนาศักยภาพเป็นศูนย์จัดการเครือข่าย ในปี 2557 เพื่อขับเคลื่อนงาน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในด้าน เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ จากข้อมูลการวิเคราะห์งานพัฒนาของพื้นที่ตำบลสาวะถี พบว่า มีการดำเนินงานหลากหลายระดับ สะท้อนความพยายามของชุมชนในการจัดการและแก้ปัญหาด้วยตนเองในชุมชน
“เทศบาลตำบลสาวะถี ส่งเสริมให้ทุกชุมชนมีแนวคิดในการบริหารจัดการขยะด้วยตนเอง โดยเน้นการจัดการขยะจากต้นทาง ภายใต้โครงการ “หมู่บ้านบริหารจัดการขยะ เพื่อสุขภาวะที่ดี” คัดแยกขยะสะสมเงินทองคุ้มครองสุขภาพ (ฌาปนกิจขยะ) สร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะในชุมชน เกิดถนนสายบุญปลอดขยะ รวมทั้งปัญหาฝุ่นละออง ที่เกิดจากการเผาอ้อย ขนส่งอ้อย และมีนโยบายที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตพื้นที่ตำบลด้วยการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวตามที่นา พื้นที่ว่างเปล่าและที่สาธารณประโยชน์ เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน และส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวงดเผาพื้นที่เกษตรกรรม โดยมีการส่งเสริมวิธีการไถกลบตอซัง และการตัดอ้อยโดยไม่เผา สนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกิดการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่ กลุ่มศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มเกษตรอินทรีย์ และต่อยอดกลุ่มอาชีพพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและความหลากหลาย พัฒนาเป็นนวัตกรรมในตำบลได้ เช่น กลุ่มย้อมผ้าจากสีธรรมชาติ”นางปรียา กล่าว