สภาฯ ‘รับหลักการ’ ร่างกฎหมาย 4 ฉบับ สร้าง ‘ความเท่าเทียมทางเพศ’ ชัยชนะของคนรุ่นใหม่
18 มิถุนายน 2565
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

ภาพของธงสีรุ้งที่ถูกโบกสะบัดในช่วง “Pride Month” ของเดือนมิถุนายนในปีนี้ ราวกับว่าเป็นการเฉลิมฉลองใหญ่มากกว่าการจัดกิจกรรมในทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประชาชนคนไทย ด้วยการผ่านวาระแรกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ พร้อมกันทั้ง 4 ฉบับ ในวันที่ 15 มิ.. 2565 ที่ผ่านมา


หนึ่งในนั้นคือ ...สมรสเท่าเทียม ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระแสสังคม เยาวชน คนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่12 .. 2562 อย่างล้นหลาม ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผ่านความเห็นชอบในวาระหนึ่งหรือชั้น รับหลักการแต่ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ และช่วยยืนยันถึงพลังทางสังคม ที่มีส่วนต่อการตัดสินใจลงมติในสภาฯ ด้วย


สำหรับร่าง ... ทั้ง 4 ฉบับ ที่ผ่านการลงมติรับหลักการของสภาฯ ด้วยเสียงสนับสนุนข้างมาก แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ร่าง ...แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่....) ..... หรือที่เรียกว่า ...สมรสเท่าเทียม โดยมีฉบับที่เสนอโดย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ..บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลกับคณะ และอีกฉบับที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) 2. ร่าง ...คู่ชีวิต ..... ซึ่งมีฉบับที่ถูกเสนอโดย อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ..บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์และคณะ กับอีกฉบับที่เสนอโดย ครม.


แม้ว่ากฎหมายทั้ง 4 ฉบับนี้ อาจถูกมองว่าเป็นร่างกฎหมายที่มีหลักการและเนื้อหาในทำนองเดียวกัน คือการให้คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถแต่งงานกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และได้รับสิทธิต่างๆ เหมือนคู่แต่งงานอื่นๆ เช่น การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน การรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน การรับมรดกจากคู่รัก ฯลฯ


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างระหว่าง ...สมรสเท่าเทียม กับ ...คู่ชีวิต ก็คือสถานะทางกฎหมายโดย ...สมรสเท่าเทียม ได้ใช้วิธีการแก้ไขกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดิม เพิ่มเติมเพื่อให้คู่รักเพศเดียวกันที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน มีสถานะเป็น คู่สมรส เหมือนกับคู่สมรสชาย-หญิงทั่วไป ส่วน ... คู่ชีวิต เลือกที่จะเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อให้คู่รักเพศเดียวกันที่แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน มีสถานะใหม่ที่เรียกว่าเป็น คู่ชีวิตแทน


นั่นทำให้กฎหมายสองส่วนนี้ยังมีความแตกต่างกันในรายละเอียดบางประการ โดยเฉพาะ ...คู่ชีวิต ที่เป็นการเขียนขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจยังมีเนื้อหาที่ไม่ครอบคลุมสิทธิหรือสวัสดิการบางประการที่คู่สมรสตามกฎหมายปัจจุบันได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการหมั้น, การอุ้มบุญ, การขอสัญชาติไทยให้คู่รักที่เป็นชาวต่างชาติ, สิทธิประกันสังคม, สวัสดิการข้าราชการ หรือ สิทธิลดหย่อนภาษี เป็นต้น ทำให้คู่รักเพศเดียวกันอาจไม่ได้รับสิทธิเหมือนกับกรณีคู่ชายกับหญิง 100% เมื่อเทียบกับ ...สมรสเท่าเทียม


ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ..บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ที่ผลักดัน ...สมรสเท่าเทียม ยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องแยกกฎหมายของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ออกมาเป็น ...คู่ชีวิต เพราะพวกเขาก็เหมือนกับคู่ของชาย-หญิงทั่วไป มีสิทธิที่จะสมรส ก่อตั้งครอบครัวกับคนที่เขาต้องการได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่การเรียกร้องสิทธิที่มากเกินไป หากแต่เป็นการทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงศักดิ์ศรี และสวัสดิการอันชอบธรรมที่ถูกขโมยไป


ที่จริงแล้ว หากมองเรื่องนี้ในแง่ของ ปรากฎการณ์ ดูเหมือนว่าการรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ ภายหลังมีกระแสข่าวว่า ...สมรสเท่าเทียม จะถูกคว่ำนั้น ถือเป็นการ ขยับใหญ่ ของฝ่ายการเมืองในการรับฟังเสียงของประชาชนและกระแสสังคม และหากมองลึกลงไปอีก จะพบว่าประเด็นเรื่อง ความเท่าเทียมกันทางเพศ มีความพยายามและการร่วมไม้ร่วมมือในการขับเคลื่อนเพื่อวางรากฐานมาเป็นอย่างดี


หนึ่งในนั้นคือการทำงานแบบสานพลังภายใต้กระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมี สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นแกนกลางเชื่อมร้อยภาคีองค์กรเครือข่ายทั่วประเทศที่ขับเคลื่อนเพื่อความเท่าเทียมของเพศภาวะต่างๆ เพื่อจัดทำนโยบายสาธารณะฯ ซึ่งถือเป็น แรงส่ง จากภาคสังคม และภาควิชาการ สู่การตัดสินใจของฝ่ายการเมือง


การรื้อทิ้ง กับดักทางความคิดที่ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคและความไม่เป็นธรรมทางเพศ เพื่อสร้างแนวคิดและกระบวนการใหม่ที่ใช้พลังความเสมอภาค เป็นธรรมทางเพศ และเคารพสิทธิของทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และผู้หลากหลายทางเพศ คือเป้าหมายนำมาสู่การบรรจุประเด็น วิถีเพศภาวะ: เสริมพลังสุขภาวะครอบครัว เข้าไปในระเบียบการพิจารณาใน งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ประจำปี 2562 ซึ่งสมาชิกสมัชชาสุขภาพทั่วประเทศ รวมถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ตลอดจนผู้คนที่ทำงานในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้มีความเห็นร่วมกันว่า การทำให้สังคมตระหนักรู้ถึงความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางเพศ เป็นภารกิจของทุกภาคส่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง


ขอให้ทุกพรรคการเมืองประกาศนโยบายเพื่อให้ทุกเพศได้รับการรับรองอย่างเสมอภาค และเป็นธรรมในทุกมิติ รวมทั้งกำกับ ติดตามให้มีการใช้นโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ คือหนึ่งในข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้รับฉันทมติร่วมกัน เมื่อราว 3 ปีที่แล้ว ซึ่งดูจะเริ่มเห็นผลการตอบรับที่มากขึ้นในวันนี้นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าว


นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา (..) ให้ทรรศนะเอาไว้ภายในเวทีเสวนาโต๊ะกลม การขจัดการเลือกปฏิบัติ เพื่อความเป็นธรรมระหว่างเพศซึ่ง สช. จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 .. 2564 ว่า เรื่องของวิถีทางเพศสภาพนั้นเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญ ซึ่งแม้ขณะนี้คนทั่วไปบางส่วนอาจยังไม่ตระหนักหรือมองข้าม หากแต่ประเด็นเหล่านี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ


การสร้างความตระหนักและเปลี่ยนเจตคติของสังคม ลำพังหน่วยงานราชการอาจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะความเคยชิน กรอบทัศนคติ รวมถึงประเด็นทางกฎหมาย ที่พรรคการเมืองอาจสามารถเข้ามาเป็นตัวเร่งในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ นพ.พลเดช ระบุ


แน่นอนว่า กว่าจะถึงบทสรุปของเรื่องนี้ ยังมีขั้นตอนการพิจารณาและรายละเอียดระหว่างบรรทัดอีกมากมาย แต่การรับหลักการของสภาฯ ร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับ ก็ช่วยเป็นแสงแรกที่ส่องสว่างให้กับการเคลื่อนไหวเพื่อ ทวงสิทธิที่พวกเขาถูกพรากจากไป