การเมืองภาคประชาชน กับการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ เขียนนโยบาย=เขียนอนาคตตัวเอง
4 กรกฎาคม 2565
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

(การเมืองภาคประชาชนกับการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ)


การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เมื่อวันที่ 22 .. 2565 สำเร็จลุล่วงไปพร้อมกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก


นอกจากคะแนนที่ท่วมท้นทุบประวัติศาสตร์ มากกว่า 1.3 ล้านคะแนนเสียง ที่ส่งผลให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระหมายเลข 8 ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 17 ได้อย่างไร้ข้อครหาแล้ว ภายใต้การเลือกตั้งครั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ


นั่นคือการตื่นตัวของ ภาคประชาชน ที่ลุกขึ้นมากำหนดชะตาชีวิตของตัวเองผ่านการจัดทำ นโยบายสาธารณะภาคประชาชน ที่ควบรวมเอาปัญหามาจัดลำดับความสำคัญ แบ่งหมวดหมู่ วิเคราะห์สังเคราะห์ จนได้ข้อสรุปออกมาเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาบนฐานกระบวนการการมีส่วนร่วม เพื่อเสนอให้ผู้ชนะการเลือกตั้งรับไปพิจารณาเป็นนโยบายต่อไป




ใช่แล้ว เรากำลังจะพูดถึง เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ ต้นแบบการสานพลังครั้งใหญ่ของกระบวนการการเมืองภาคประชาชน 


เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบ ... คุณอาจจะเห็นด้วยว่า ถ้าเกิด เครือข่ายปลุกเมือง ขึ้นทุกจังหวัด ในบรรยากาศของการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ คงจะดีไม่น้อย !!? 


กำเนิด เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ

ภายหลังประเทศไทยว่างเว้นจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มานานกว่า 9 ปี และด้วยสนามเลือกตั้ง กทม. แห่งนี้ คือ จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยประกอบให้เห็นภาพใหญ่ของการเลือกตั้งระดับประเทศ นั่นจึงทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 22 .. ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด


ด้วยบรรยากาศความตื่นตัวทางการเมือง และด้วย ความหวัง ที่ต้องการจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ภาคีองค์กรมากกว่า 84 เครือข่าย อันประกอบด้วย เครือข่ายภาคประชาชน กลุ่มคนรุ่นใหม่ และสื่อมวลชน ถือฤกษ์งามยามดี วันที่ 31 มี.. 2565 รวมตัวกันขึ้นในนามของ เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯเพื่อกำหนดวาระและรวบรวมคำถามสำคัญ ที่จะส่งตรงไปถึงผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในเวลานั้น


ระยะเวลาราวๆ 2 เดือนก่อนที่วันชี้ชะตาเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. จะมาถึง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้สมัครล้วนเดินหน้าหาเสียงและแสดงวิสัยทัศน์อย่างเข้มข้น ทางเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ เลือกที่จะเดินหน้าจัดเวทีระดมข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคประชาชน ภายใต้ชื่อโครงการฟังเสียงกรุงเทพฯ : Bangkok Active”


นั่นจึงทำให้เราได้เห็นภาพใหม่ จากเดิมที่นักการเมืองจะจัดเวทีปราศรัย แล้วให้ประชาชนมารับฟังนโยบาย หากแต่ในครั้งนี้ประชาชนเลือกที่จะจัดเวทีเพื่อส่งเสียง แล้วให้นักการเมืองเป็นฝ่ายเข้ามารับฟังแทน


การจัดเวทีของเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ ได้เดินหน้าตลอด 6 สัปดาห์ รวม 6 เวทีหลัก ที่แบ่งตามข้อเสนอสำหรับ 6 ประเด็น ซึ่งประกอบด้วย 1) เมืองน่าอยู่ วันที่ 7 เม.. 2) เมืองปลอดภัย วันที่ 21 เม.. 3) เมืองทันสมัย วันที่ 30 เม.. 4) เมืองเป็นธรรม วันที่ 6 .. 5) เมืองสร้างสรรค์ วันที่ 13 .. และ 6) เมืองมีส่วนร่วม วันที่ 16 ..




นอกจากเวทีใน 6 ประเด็นหลักดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีเวทีย่อยที่สำคัญๆ อีกหลากหลาย เช่น เวทีเมืองสุขภาพที่มุ่งยกระดับข้อเสนอต่อการพัฒนาระบบสุขภาพ กทม. และสร้างความเข้าใจเรื่องกระบวนการมีส่วนร่วม ผ่านเครื่องมือภายใต้ ...สุขภาพแห่งชาติ ..2550 รวมทั้งการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร หรือเวทีปากท้องของคนกรุงฯ: ชวน (ว่าที่) ผู้ว่าฯ ออกแบบอนาคตเมืองด้วยพื้นที่อาหาร ที่ขับเน้นประเด็นความมั่นคงทางอาหารภายในเมือง เป็นต้น

การเปิดพื้นที่สื่อสารทั้งหลายเหล่านี้ วัตถุประสงค์หลักของทางเครือข่ายฯ ในด้านหนึ่งก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ ผู้สมัคร ที่จะได้รับข้อมูล สาระสำคัญ ความคิดเห็นผ่านคำถามของเครือข่ายภาคประชาชน เครือข่ายนักวิชาการที่มีความสนใจเรื่องเมือง ที่จะมาถ่ายทอดเมืองในความต้องการหรือในอุดมคติร่วมกัน อันสามารถให้ผู้สมัครปรับใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ ช่องทางการทำงานร่วมกันในอนาคต หรือพัฒนานโยบายสาธารณะให้เป็นจริงมากขึ้น

ในอีกด้านหนึ่งก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง และกลุ่มคนต่างๆ ที่ใช้ชีวิตในเมือง ที่จะได้รับข้อมูล ความคิดเห็น สาระสำคัญที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ผ่านคำถามเดียวกันของเครือข่ายภาคประชาชน เครือข่ายนักวิชาการที่มีความสนใจเรื่องเมือง

สำหรับกระบวนการก่อนถึงเวทีแสดงวิสัยทัศน์แต่ละครั้ง
ทีมงานของ เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯจะมีกระบวนการระดมคำถามผ่านตัวแทนเครือข่ายเชิงประเด็น และคัดสรรจนเป็นคำถามเชิงนโยบายก่อนส่งคำถามดังกล่าวให้ทีมงานของผู้สมัครก่อนล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมในแต่ละเวที


ขณะเดียวกันภายในเวทีรับฟังวิสัยทัศน์แต่ละครั้ง บรรยากาศของเวที สถานที่ และภาคี เครือข่าย ผู้เข้าร่วมรับฟังในวันนั้นๆ ก็จะเปลี่ยนไปตามธีม (Theme) ลักษณะของเมือง และเชิงประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างบรรยากาศให้สอดคล้องกับภาพฝันของเมืองที่ทุกคนอยากเห็น

ท้ายที่สุดผลผลิตจากการรวบรวมข้อเสนอแนะของกลุ่มเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ ผ่านการระดมข้อเสนอนโยบายในเวทีต่างๆ ก็ได้ถูกรวบรวมออกมาเป็นรูปธรรมผ่านการจัดทำ สมุดปกขาว เพื่อส่งมอบให้กับผู้ว่าฯ กทม. นำไปเป็นข้อมูลสำคัญประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย และขับเคลื่อนนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน กทม.




สมุดปกขาว ข้อเสนอนโยบายภาคประชาชน

เนื้อหาคร่าวๆ ในสมุดปกขาวเล่มนี้ ได้แบ่งข้อเสนอออกเป็นแต่ละด้าน ประกอบด้วย 1. เมืองน่าอยู่: Well-being มีข้อเสนอเรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมการใช้ประโยชน์ การบูรณาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ กทม.แบบองค์รวม การบริหารจัดการฝุ่น PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการขยะที่เป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สาธารณะสำหรับคนรุ่นใหม่


2. เมืองปลอดภัย (Safety City) มีข้อเสนอเรื่องการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ครอบคลุมทุกพื้นที่และประชาชนทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึงได้ พัฒนาระบบหรือกลไกในการเฝ้าระวังแหล่งอาหารที่ไม่ปลอดภัย การพัฒนาทางเท้า การทบทวนกฎหมายและกลไกการดูแลเรื่องความปลอดภัยของอาคาร การช่วยเหลือและลดภัยพิบัติในชุมชนแออัด การลดอาชญากรรมและพื้นที่จุดเสี่ยง ตลอดจนการลดความรุนแรงในครอบครัวและเพศ

3. เมืองทันสมัย (Smart City) มีข้อเสนอเรื่องการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในสังคมเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน การส่งเสริมการใช้และขับเคลื่อนเมืองด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การส่งเสริม Civic Technology

4. เมืองเป็นธรรม (Equality) มีข้อเสนอเรื่องการดูแลคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง พัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกพื้นที่ให้ได้ตามมาตรฐาน พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนจนเมืองหรือสำหรับทุกคน พัฒนาระบบการศึกษาให้เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม ส่งเสริมให้เกิดความเป็นธรรมทางการเมือง เสริมสร้างความเท่าเทียมด้านเพศ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนให้สามารถกำกับดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนได้

5. เมืองสร้างสรรค์ (Creative City) มีข้อเสนอเรื่องการเพิ่มพื้นที่การเรียนรู้ให้ครบคลุมทุกเขตพื้นที่ และตอบสนองกับทุกกลุ่มในสังคม การพัฒนาระบบการจัดการศิลปวัฒนธรรมในพื้นที่อย่างครบวงจร การพัฒนาสุนทรียภาพของ กทม. ส่งเสริมการใช้ศิลปะเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองและชุมชนเข้าใจและเข้าถึงศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น

6. เมืองมีส่วนร่วม (Engagement) มีข้อเสนอเรื่องการสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ (Policy Process) ของพลเมืองทุกช่วงวัยและทุกภาคส่วน ส่งเสริมให้เกิดสภาพลเมืองเพื่อสร้างกลไกการมีส่วนร่วมสำหรับประชาชนทุกคน รวมถึงส่งเสริมให้ชุมชนมีเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้ในทุกมิติ

อีกหน้าที่ของสมุดปกขาวฉบับนี้ ยังจะมีฐานะเสมือนกับการเป็นเช็คลิสต์ให้กับภาคประชาชน เพื่อติดตามการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. ว่าจะสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของภาคประชาชนไปได้มากน้อยเพียงใด ภายใต้ระยะเวลา 4 ปีของการทำงาน

วันที่ 31 .. 2565 วันที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. อย่างเป็นทางการ เป็นวันเดียวกันกับที่เครือข่ายฯ เข้าส่งมอบสมุดปกขาวหรือประกาศิตคนกรุงให้กับผู้ว่าฯ ของตัวเอง



คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในฐานะ 1 ใน 84 องค์กร ของเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ ได้ชักชวนหน่วยงานภาคีด้านสุขภาพ อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมทั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) เข้าหารือถึงการยกระดับการทำงานปฏิรูประบบสุขภาพปฐมภูมิกับผู้ว่าฯ คนใหม่ พร้อมส่งมอบสมุดปกขาวให้ถึงมือในวันนั้น


แน่นอนว่า ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยินดีที่จะรับไว้ พร้อมทั้งยืนยันความเชื่อของตัวเองที่ว่า การพัฒนา กทม. ให้ดีขึ้นได้นั้นทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมกัน และยังให้คำมั่นด้วยว่า กระบวนการจะไม่ได้หยุดอยู่เพียงการรับเล่มไปเท่านั้น หากในที่สุดแล้วสมุดปกขาวจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต นั่นก็เพราะปัญหาของ กทม. ไม่ได้อยู่กับที่ และยังจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ โดยที่จะต้องมีการพัฒนาต่อเนื่องไป

การนำเอาภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับปัญหา นับว่ามาถูกทาง เพราะทุนทางสังคมหรือการรวมตัวของประชาชนจะเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาเมือง ที่จะมีพลังในการช่วยผลักดันมากกว่ารอเอาคำตอบจากราชการเพียงอย่างเดียว ถ้าประชาชนไม่รู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับคำตอบ ก็จะเหมือนกับสั่งให้ทำ แต่ว่าจะไม่มีพลังเหมือนกับที่เขาได้เข้ามามีส่วนร่วม ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ระบุ


ขยายความร่วมมือ สู่การเมืองระดับชาติ

อาจกล่าวได้ว่าความเห็นจากผู้ว่าฯ กทม. มีความสอดคล้องโดยตรงกับเจตนารมณ์ตั้งต้นในการรวมตัวของเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ ที่ได้ประกาศเอาไว้


ความหมายของการเลือกตั้งในวาระนี้ คือโอกาสในการสื่อสารและแสดงออกถึงพลังของสังคมในการมีส่วนร่วมมหานครและเมืองใหญ่ ที่คนทุกกลุ่มทุกฝ่ายจะให้ความร่วมมือกัน เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ อยากเห็นการเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องเปลี่ยนจากวัฒนธรรมการแข่งขันทางการเมือง เป็นความร่วมมือสมานฉันท์ของผู้สมัครผู้ว่าฯ ทุกคน เพื่อให้นำไปสู่การส่งเสริมการเมืองระดับชาติอย่างสร้างสรรค์ ไม่ขยายความขัดแย้งทางสังคม

รัฐท้องถิ่นต้องยอมรับความเข้มแข็งของ Active Citizen กระบวนการมีส่วนร่วมของภาคพลเมือง และไม่แสดงออกถึงการต่อต้านเหมือนที่ผ่านมา นี่เป็นเนื้อหาช่วงหนึ่งในการประกาศเจตนารมณ์อันหนักแน่นของกลุ่มภาคี 84 องค์กร ที่รวมตัวกันในนามเครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ

ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า เราจำเป็นต้องมีกลไกการวิพากษ์ในระดับนโยบายที่มุ่งให้อำนาจกับประชาชน ไม่อย่างนั้นก็จะได้นโยบายที่เหมือนกับสินค้าที่เข้าไปยืนชี้ แล้วใครสัญญาว่าจะให้อะไรก็เอา พอถึงเวลา 4 ปีก็เลือกตั้งใหม่ เพราะฉะนั้นนโยบายแบบที่ภาคประชาชนกำลังทำกันอยู่ นอกจากมาจากตัวเรายังส่งเสริมให้ประชาชนสามารถที่จะมีอำนาจในการติดตาม เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้ประชาธิปไตยมีคุณภาพเพิ่มขึ้น

สมุดปกขาวถือเป็นกลไกนโยบายเชิงวิพากษ์ในสังคมประชาธิปไตย ที่ไม่ได้ยึดมั่นกับคำสัญญาของผู้สมัครเท่านั้น แต่เป็นการร่วมคิด ร่วมตรวจสอบ มองความเป็นไปได้เชิงนโยบาย โดยมุ่งให้อำนาจกับประชาชนนักวิชาการรัฐศาสตร์รายนี้ อธิบาย

สำหรับ สมุดปกขาว หรือ เครือข่ายปลุกกรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทางการเมืองของภาคประชาชนทั่วประเทศเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะในโอกาสที่ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศเร็วๆ นี้

อาจพูดได้ว่า กระบวนการทางการเมืองภาคประชาชนที่เกิดขึ้นในบรรยากาศการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นตัวอย่างสำคัญต่อการขยายแนวคิดนี้ไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศ



พูดให้เห็นภาพก็คือ ระหว่างที่ภาคการเมืองปกติใช้เวทีหาเสียงจัดปราศรัยใหญ่เพื่อให้ประชาชนเข้ามารับฟังนโยบายที่ภาคการเมืองนำเสนอ ในระหว่างนั้น ภาคประชาชนสามารถรวมตัวกันเพื่อเปิดเวทีจัดทำนโยบายคู่ขนานกันได้ เมื่อได้ข้อสรุปก็อาจจะเชิญตัวแทนพรรคการเมือง หรือตัวแทนผู้สมัคร เข้ามารับฟังหรือให้พันธะสัญญาร่วมกัน

ใช่ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากทุกวันนี้ประเทศไทยมีกลไกสานพลังระดับจังหวัดอยู่ นั่นก็คือเครื่องมือภายใต้ ... สุขภาพแห่งชาติ .. 2550 นั่นก็คือ สมัชชาสุขภาพจังหวัด หรือแม้แต่คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.)” กลไกประสานความร่วมมือในระดับกลุ่มจังหวัด

นี่ยังรวมกับต้นทุนจากภาคีเครือข่ายอื่นๆ ที่มีอยู่ทั่วทั้งประเทศ

ฉะนั้นหากเรายกปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นใน กทม. ครั้งนี้ ไปเป็นมิติของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศที่จะมาถึง ทั้งหมดจะพุ่งไปสู่เรื่องของการเมืองรูปแบบใหม่

การเมืองที่เป็นการสานพลังของทุกภาคส่วน เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร "สานพลัง" ฉบับเดือนมิถุนายน 2565