
ระดมสมอง ‘สมัชชาสุขภาพภาคใต้’ ปักธง! สร้าง ‘พื้นที่แห่งความสุข’ มุ่งเน้น 5 ปี ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ ผลักดันสมดุล ‘สุขภาพ-เศรษฐกิจ’5 กรกฎาคม 2565
“นพ.ปรีดา’ เปิดเวทีเครือข่ายสมัชาสุขภาพ 14 จังหวัดภาคใต้ ส่งต่อแนวคิดดึงทุกภาคส่วนร่วมสร้าง “สมดุลสังคม-เศรษฐกิจ” อย่างเป็นธรรม ย้ำ! กลไกธรรมนูญสุขภาพฉบับที่ 3 ช่วยลดความเหลื่อมล้ำแต่กระบวนการต้องจริงจัง
นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยผ่านเวทีเสวนา "เสริมงาน สานใจ" เครือข่ายสมัชาสุขภาพ 14 จังหวัดภาคใต้ เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันในการสร้างและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะจากระดับจังหวัดขึ้นสู่ระดับภูมิภาค และนโยบายสาธารณะเชิงยุทธศาสตร์ร่วมของภาคใต้ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 ที่ จ.สงขลา ตอนหนึ่งว่า “ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3” จะผูกกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ และมองไปข้างหน้าในระยะ 5 ปีด้วยความชัดเจน โดยเฉพาะกับผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน การจัดการกับโรคก็มีผลกระทบด้วย ซึ่งในธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 จะตั้งโจทย์ที่เน้นถึงการสร้างสมดุลสุขภาพ และเศรษฐกิจ จะทำได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น นโยบายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ หรือโรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา ที่แน่นอนว่าอาจจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่อีกด้านก็เป็นโจทย์ที่ต้องมองมาถึงวิถีชีวิตผู้คน สุขภาวะ ทั้งหมดจะมีความสมดุลควบคู่ไปกับความเจริญทางเศรษฐกิจได้อย่างไร
นพ.ปรีดา กล่าวต่อไปว่า หากมองภาพให้กว้าง จะเห็นวงกลมอยู่ 3 วงด้วยกันที่เครือข่ายสมัชาสุขภาพรู้จักกันดี คือ 1. วงกลมปัจเจก ที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมของประชาชน 2. วงกลมสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงไปยังสภาพแวดล้อมต่างๆ สภาพการเมือง สังคม วัฒนธรรม และ 3. วงกลมของระบบบริการ ที่มีความเกี่ยวข้องกับงบประมาณ การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ
“กระนั้นจะมีวงกลมใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของ 3 วงกลมนี้ นั่นคือวงกลมสุขภาพประชาชน ที่เป็นวงกลมที่ครอบคลุมไปทุกด้าน ซึ่งการวางวงกลมใหญ่ไว้กับ 3 วงกลมที่กล่าวมา จะวางกันอย่างไรให้มีความสมดุล ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 จะเน้นในการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น แต่กระบวนการคือพวกเราจะทำกันอย่างไรให้สมบูรณ์ มีกลไก มีกระบวนการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างองค์รวมไปสู่สุขภาวะที่ดี” นพ.ปรีดา กล่าว
รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่ง กล่าวอีกว่า ปัจจุบันสังคมที่ดีจะต้องมีประชาชนที่ใช้ชีวิตควบคู่กับไปเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นไปได้อย่างเหมาะสม สามารถนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตได้ แต่ทุกวันนี้มีประชาชนบางส่วนที่ไปต่อได้ ส่วนหนึ่งก็ยังทำไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาต้องตกขบวน ถูกเอารัดเอาเปรียบ
ฉะนั้น ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 จึงมีประเด็นสำคัญ ที่เราต้องการให้เกิดสังคมที่เรียกว่า “สังคมระบบสุขภาพที่เป็นธรรม” และการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ เราก็ต้องยอมรับถึงความเหลื่อมล้ำว่ามีหลายเรื่อง และจะทำอย่างไรให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำมันหายไปผ่านกลไก กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ประเด็นการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (Health Impact Assessment: HIA) ในกระบวนการการมีส่วนร่วมของธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 จะมีการผลักดันให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่ภาคี เพื่อให้ได้ใช้กระบวนการ HIA อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่หน่วยงานท้องถิ่นระดับใหญ่ อย่างองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้บริหารที่มีหน้าที่บริการ จัดการคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดี
เมื่อมีโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องเกิดการพัฒนา ก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาขนอยู่แล้ว หากใช้กลไก HIA ที่เป็นเครื่องมือหนึ่งให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ก็จะส่งผลให้เกิดความสมานฉันท์ในการสร้างความสมดุลสุขภาวะได้เช่นกัน เพราะหากมีความรู้ความเข้าใจกับเครื่องมือ HIA ก็จะทำให้เห็นถึงความสำคัญว่านโยบายต่างๆ ที่หน่วยงานแต่ละแห่งได้ดำเนินการนั้น มีผลกระทบอย่างไร แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่มีความเหลื่อมล้ำอยู่ในนโยบายการพัฒนานั้นๆ หรือไม่
นพ.ปรีดา กล่าวอีกว่า การทำงานของสมัชชาสุขภาพในทุกระดับจากนี้ไปในระยะ 5 ปี จะถูกมุ่งเน้นในเรื่องมิติของความเหลื่อมล้ำ เราต้องมาช่วยกันคิด ช่วยกันคุย ประเด็นภาพรวมทั้งหมดที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังจะทำได้อย่างไร มีความท้าทายที่จะยกระดับ และสร้างการมีส่วนร่วมให้ทุกภาคส่วนหันมาขับเคลื่อนเรื่องเดียวกันผ่านกลไกของธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 เพื่อให้ทุกคนในสังคมเดินไปร่วมกันได้โดยไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะสุขภาพไม่ใช่เรื่องของกระทรวงสาธารณสุข หรือคนในแวดวงสุขภาพอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคน
อนึ่ง สำหรับเวที "เสริมงาน สานใจ" เครือข่ายสมัชาสุขภาพ 14 จังหวัดภาคใต้ที่จัดขึ้น เครือข่ายสมัชชาฯ เห็นพ้องกันว่า การทำงานของพื้นที่ควรไปให้ไกลกว่าการจัดทำข้อเสนอนโยบายสาธารณะ แต่ควรนำไปสู่การสร้างนโยบายสาธารณะที่มีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ทั้งในระดับท้องถิ่นตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด ภูมิภาค ไปถึงระดับชาติ ซึ่งในระดับภูมิภาคของภาคใต้ เห็นพ้องให้เกิดการทำนโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อการสร้างภาคใต้เป็นพื้นที่แห่งความสุข
พร้อมกันนี้ ยังมีการสร้างนโยบายสาธารณะเชิงประเด็นร่วมใน 7 ประเด็น ประกอบด้วย 1. ความมั่นคงทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน 3. ความมั่นคงทางทางอาหารและพันธุ์กรรมพืช 4. ความมั่นคงทางสังคมและคุณภาพชีวิต 5. ความมั่นคงทางสุขภาพ 6. ความมั่นคงในมนุษย์ และ 7. ความมั่นคงทางการศึกษา/เทคโนโลยีและการสื่อสาร