ผู้คนนับล้านต้องตายเพราะการกิน เมื่อ 'อาหารที่ดี' ไปไม่ถึงปากท้อง WHO เน้นย้ำทั่วโลกหา 'ทางออก' หนุนของที่ดีต่อสุขภาพ-โภชนาการ20 กรกฎาคม 2565
หนึ่งในประเด็นที่โลกกำลังจับตาขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของผู้คนทั่วโลก นั่นคือเรื่อง “อาหาร” ที่กำลังมีผลกระทบต่อประชากรโลก ทั้งในแง่ของความหิวโหย ภาวะทุพโภชนาการ ที่กำลังแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เผยแพร่รายงานสถานะความมั่นคงด้านอาหารและโภชนาการโลก ปี 2565 ที่มีใจความระบุให้นานาประเทศได้เห็นถึงภาระความหิวโหยที่หนักหนาสาหัส และสถานการณ์ด้านอาหารหลากหลายรูปแบบที่ประชากรโลกกำลังเผชิญ
ตามรายงานของ WHO ทำให้เห็นภาพว่าภาวะความหิวโหย และการขาดโภชนาการที่ดี ยังคงรุกคืบอย่างหนักต่อผู้คนทั่วโลก โดยมีต้นตอหลักมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์สงคราม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันส่งผลเป็นอุปสรรคต่อการจัดหาอาหารที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งประเด็นสำคัญนั่นก็คือ “คุณภาพของอาหาร” ที่ตัวเลขตามรายงานนี้ได้สะท้อนว่าผู้คนกว่า 3,000 ล้านชีวิต ไม่สามารถซื้อหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ในขณะเดียวกันก็มีผู้คนนับล้านชีวิต ที่ต้องตายเพราะ “อาหารไม่มีคุณภาพ” ในแต่ละปี
สาระสำคัญของรายงานฉบับนี้ WHO จึงมุ่งเป้าให้รัฐบาลทุกประเทศ สนับสนุนภาคการผลิตอาหาร ผลิตภัณฑ์การเกษตร ให้สอดคล้องกับการส่งเสริมอาหารเพื่อสุขภาพให้ประชาชน รวมถึงงบประมาณที่ต้องจัดสรรเพื่อให้เกิดการผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น และทำให้ต้นทุนอาหารสุขภาพมีราคาที่ไม่แพง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
วิธีการหนึ่งที่รายงานฉบับนี้ได้เสนอเพื่อเพิ่มคุณค่าของอาหารให้กับประชากรโลก คือการ “จัดเก็บภาษี” ในอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และเพิ่มช่องทางผลประโยชน์ในการกระตุ้นให้คนอุดหนุนอาหารทางเลือกที่มีผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น
สิ่งสำคัญคือ รัฐบาลจะต้องกำหนดเกณฑ์ของ “อาหารที่ดีต่อสุขภาพ” ที่วางขายในที่สาธารณะ เพื่อให้การเข้าถึงอาหารของผู้คนในการซื้อหามารับประทาน จะเป็นอาหารที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกายจริง ในขณะเดียวกันก็ให้มีการปรับปรุงอาหารในโรงเรียน โรงพยาบาล โรงอาหารในสถานที่ราชการต่างๆ รวมไปถึงสถานที่ของเอกชน ที่ควรมีการปรุงอาหารแบบลดความเค็ม ลดหวาน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับอาหารที่ดี เพราะในหลายต่อหลายครั้งพบว่า อาหารที่วางขายและปรุงให้กับเด็ก หรือผู้ป่วย นั้นไม่สอดคล้องกับการทำให้สุขภาพดีขึ้นได้เลย
ในรายงานฉบับนี้ ยังยกตัวอย่างรูปแบบการจัดการด้านอาหารที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นโมเดลที่ใช้งานได้จริงในหลายประเทศ และได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อประชากรพวกเขาเอง
ตัวอย่างแรกคือรัฐบาล “บราซิล” ได้กำหนดโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียน จำนวน 30% ต้องซื้อวัตถุดิบจากภาคการเกษตรที่ผ่านการรับรองของรัฐบาลว่ามีคุณภาพ ซึ่งโครงการนี้กระตุ้นให้เกษตรกรจำนวนมากเปลี่ยนจากการผลิตพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง ไปเป็นการผลิตที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการปลูกผักและผลไม้มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของโรงเรียนทั่วประเทศในการจัดหาอาหารที่มีคุณภาพ
ข้ามมาฝั่งยุโรป มองไปยัง “กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก” และ “นครเวียนนา ออสเตรีย” ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ได้ กำหนดให้มีการกระตุ้นการผลิต ผักและผลไม้ออร์แกนิคให้เพิ่มมากขึ้น และผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆ ด้วย ซึ่งยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิตอาหาร และมีจุดเด่นในการปรับพฤติกรรมการกินของผู้คน ให้ไปสู่การกินอาหารที่มีคุณภาพได้
ขณะที่ฟากฝั่งเอเชีย ก็ได้มีการเริ่มต้นในเรื่องคุณภาพอาหารด้วยเช่นกัน โดยในปี 2564 รัฐบาล “ฟิลิปปินส์” ได้ใช้นโยบายอาหารสาธารณะเพื่อสุขภาพ ที่ประกาศเป็นกฎหมายและบังคับให้ทุกสถานที่ของรัฐ รวมถึงศูนย์จำหน่ายอาหารในเขตเมือง ภาคผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร จะต้องสนับสนุนภาคการเกษตร และต้องจัดหาอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพจากท้องถิ่นนั้นๆ เป็นหลัก เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอาหารที่ถูกรับประทานในทุกสถานที่ จะมีคุณภาพดี ราคาถูก และยังเป็นการสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับภาคเกษตรของท้องถิ่นเอง ที่สำคัญคือนโยบายนี้ได้ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของชาวฟิลิปปินส์ได้มากถึง 2.7 ล้านคน
แม้แต่ใน “สิงคโปร์” รัฐบาลของพวกเขาก็ได้ออกนโยบายเมื่อปี 2560 ที่ชื่อว่า “การจัดเลี้ยงเพื่อสุขภาพโดยรวมของรัฐบาล” ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลทุกแห่ง ต้องจัดหาอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพให้กับพนักงาน รวมถึงสาธารณชนในงานต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดไว้ ซึ่งมีบริการอาหาร โดยนโยบายดังกล่าวสามารถช่วยส่งเสริมความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพได้ เช่น กำหนดให้มีน้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มเริ่มต้น กินธัญพืชไม่ขัดสี ปรุงอาหารจากส่วนผสมที่มีโซเดียมต่ำ ตลอดจนใช้น้ำมันประกอบอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
สำหรับนโยบายการจัดซื้ออาหารสาธารณะเพื่อสุขภาพ และการบริการอาหารที่ดีมีคุณภาพ เป็นส่วนหนึ่งตามแนวทางของ WHO ที่ต้องการส่งเสริมระบบอาหารทั่วโลกให้มีผลดำเนินการด้านสุขภาพ และมุ่งเน้นปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้คนทั้งโลกได้เข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน
ที่มา: Healthy public food procurement and service policies, WHO https://bit.ly/3PkU0zg