
สธ.สร้าง '6-0000-xxxxx-xx-x' เลข 13 หลักเพื่อ 'บริการสุขภาพ' หวังลดข้อจำกัดการเข้าไม่ถึงสิทธิ ช่วยดูแลทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย3 สิงหาคม 2565
“สุขภาพของเด็ก คนพิการ คนสูงอายุ คนด้อยโอกาสในสังคมและกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความจำเพาะในเรื่องสุขภาพ ต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม” เป็นหนึ่งในวรรคตอนสำคัญที่บรรจุอยู่ในมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
แม้ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มเปราะบางในประเทศไทยจะค่อยๆ ได้รับการพัฒนาในเรื่องของการดูแลด้านสุขภาพที่มากขึ้นมาเป็นลำดับ หากแต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 วิกฤตนี้ได้เข้ามาสั่นคลอนกับระบบสาธารณสุขในทุกๆ มิติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการป้องกันและควบคุมโรคระบาดนั้น มีสิ่งที่สำคัญจำเป็นอย่างมากคือระบบ “ฐานข้อมูล” ที่จะใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ รวมถึงยืนยันตัวบุคคลเพื่อประโยชน์ต่อการจัดการโรค ดังนั้นความท้าทายหลักๆ จึงไปตกอยู่กับกลุ่มคนที่ไม่อยู่ในระบบฐานข้อมูล
นพ.อนันต์ กนกศิลป์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) อธิบายว่า โดยหลักการแล้วประชากรที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยนั้น แน่นอนว่ามีมากกว่าจำนวนคนไทยที่มีเลขบัตรประชาชน 13 หลัก หากแต่บนฐานข้อมูลในระบบดิจิทัล อย่างการให้บริการด้านสาธารณสุขนั้น จะใช้การระบุตัวตนด้วย “เลข 13 หลัก” เป็นหลัก
ทั้งนี้ โดยปกติหากเป็นกลุ่มคนที่เข้าเมืองมาอย่างถูกกฎหมาย เช่น แรงงานข้ามชาติ ที่เข้ามาตามเอ็มโอยูของกรมการจัดหางาน ก็จะได้รับการขึ้นทะเบียนและออกเลข 13 หลัก เพื่อให้สามารถใช้ในการระบุตัวตนได้ หากแต่กลุ่มคนที่เข้ามาด้วยเหตุผลอื่น เช่น ท่องเที่ยว ทำธุรกิจ หรือเรียน แม้จะเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย ก็จะมีเพียงเลขพาสปอร์ตเท่านั้น
“พอเขาเหล่านี้เกิดเจ็บป่วย หรือต้องได้รับบริการด้านสุขภาพ ระบบส่วนใหญ่ของภาครัฐเราที่มีอยู่ โดยเฉพาะ สธ. จะไม่สามารถรองรับเลขพาสปอร์ตได้ และต้องใช้เลข 13 หลัก เป็นหลัก แต่ปัญหาคือที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานไหนดำเนินการให้” นพ.อนันต์ ระบุ
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ว่ามานั้น ยังไม่นับรวมไปถึงกลุ่มคนที่เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย และกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญในช่วงที่มีการระบาดของโรค เมื่อหน่วยงานภาครัฐก็จำเป็นจะต้องเร่งควบคุมโรคให้อยู่ ทั้งในแง่การติดตามโรค หรือการกระจายวัคซีน แต่ในขณะเดียวกันคนกลุ่มนี้กลับหลบซ่อนตัว เพราะกลัวที่จะถูกจับ
สาเหตุดังกล่าวจึงกลายเป็นที่มา ที่ในภายหลังได้เกิดการประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครอง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) รวมถึงองค์กรด้านสาธารณสุขอีกหลายหน่วยงาน เพื่อที่จะแสวงหา “เจ้าภาพ” ในการดำเนินการออกเลข 13 หลักเพื่อระบุตัวตนคนกลุ่มนี้
บทสรุปของที่ประชุม จึงเป็นการเสนอให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สป.สธ. เป็นศูนย์ทะเบียนคนต่างด้าวและคนไร้สิทธิสำหรับใช้ในงานให้บริการด้านสาธารณสุข พร้อมประกาศมาตรฐานการให้บริการและการเชื่อมโยงข้อมูลให้กับหน่วยงานที่มีความต้องการใช้งาน โดยพัฒนาระบบเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ลดการทำงานซ้ำซ้อนในการทำงานด้านทะเบียน
ทั้งนี้ โดยเบื้องต้นแล้วเลข 13 หลักของคนกลุ่มนี้ จะถูกออกให้เป็นเลข “6-0000-xxxxx-xx-x” โดยเลขหลักที่ 1 ขึ้นต้นด้วย “6” หมายถึง “คนต่างด้าว” ส่วนเลขหลักที่ 2-5 จะเป็นเลขของหน่วยที่ออกเลขชุดดังกล่าว ซึ่ง “0000” จะถูกนำมาใช้เฉพาะในงานสาธารณสุข โดยที่ไม่ซ้ำกับหน่วยงานอื่น
นพ.อนันต์ ระบุว่า ในส่วนของการยืนยันตัวตน จะมีการใช้ข้อมูล Biometrics ร่วมด้วย เช่น การถ่ายรูปใบหน้า หรือการพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เพียงพอในการระบุตัวบุคคล รวมถึงป้องกันการออกเลขซ้ำ โดยต่อไปหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม ก็จะสามารถเข้ามาใช้ฐานข้อมูลนี้ เพื่อให้เราได้เชื่อมโยงระบบสุขภาพในภาพรวมได้
“เราจะมีกลุ่มที่รัฐดูแลไม่ถึงอีกเยอะ เช่น คนไม่มีสถานะทางสิทธิตามชุมชน หรืออย่างตอนนี้ก็มีภาระงานที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ที่มีชนกลุ่มน้อยข้ามแดนมารักษามากมาย และเป็นภาระที่โรงพยาบาลไม่สามารถไปเรียกร้องค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานใดได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีข้อมูล แต่ถ้ามีระบบตรงนี้แล้ว เขาก็จะสามารถบันทึกข้อมูลและส่งมาได้” นพ.อนันต์ ระบุ
ด้าน ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช ที่ปรึกษาโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ให้ข้อมูลเสริมว่า ปัจจุบันเลข 13 หลักชุดนี้ ได้มีการออกให้ไปแล้วมากกว่า 6,000 ราย โดยปัจจุบันมีสภากาชาดไทย เป็นหน่วยงานหลักที่นำไปใช้เป็นฐานข้อมูล ในการกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังต้องการต่อไป คือการขยายให้หน่วยงานต่างๆ ด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง มีการนำระบบฐานข้อมูลที่ถูกพัฒนาขึ้นมานี้ ไปใช้ประโยชน์เพื่อการจัดการด้านสาธารณสุขให้มากขึ้น เพื่อให้บุคคลกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องเลข 13 หลัก สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษา รวมถึงการส่งเสริมป้องกันโรคได้ในเบื้องต้น
“ขณะนี้เรากำลังพยายามทำให้การเข้าบริการด้านสุขภาพ ไม่ต้องมาติดขัดในเรื่องของการไม่มีสิทธิ ไม่มีเลข 13 หลัก โดยที่มีหน่วยงานหลักๆ ของรัฐ หน่วยงานที่ดูแลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการเพื่อดูแลในเรื่องนี้ ฉะนั้นเราจึงอยากกระตุ้นให้มีการนำไปใช้มากยิ่งขึ้นต่อไป” ภญ.เนตรนภิส ทิ้งท้าย