ประกาศปฏิญญา ขจัด ‘การเลือกปฏิบัติ’ ปกป้องสิทธิ ‘คนหลากหลายทางเพศ’2 ธันวาคม 2564
สช.และภาคีเครือข่ายร่วมจัดเสวนาขจัดการเลือกปฏิบัติ
มุ่งสู่ความเป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมร่วมกันประกาศปฏิญญาปกป้องสิทธิ-เสรีภาพ “กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ”
สร้างความเท่าเทียมกันในสังคม เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพิ่มการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ครอบคลุมมากขึ้น
เมื่อวันที่ 8
ธ.ค. 2564 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) ร่วมกับ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และภาคีเครือข่าย จัดเวทีเสวนาโต๊ะกลม “การขจัดการเลือกปฏิบัติ เพื่อความเป็นธรรมระหว่างเพศ”
ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Side Event) ของการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ครั้งที่ 14 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความก้าวหน้า
แนวทางการดำเนินงาน รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 เรื่อง วิถีเพศภาวะ:
เสริมพลังสุขภาวะครอบครัว
ทั้งนี้ ตัวแทนจากแต่ละภาคส่วนที่เข้าร่วมภายในงาน
ซึ่งประกอบทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครือข่ายภาคประชาสังคม ตัวแทนจากพรรคการเมือง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้มีการร่วมกันประกาศหมุดหมายและปฏิญญาเพื่อการขับเคลื่อนประเด็น
“การขจัดการเลือกปฏิบัติ
เพื่อความเป็นธรรมระหว่างเพศ” ซึ่งจะปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล
โดยขจัดการเลือกปฏิบัติหรือการไม่ยอมรับวิถีทางเพศสภาพ ที่ยังคงมีอยู่หลากหลายในสังคมไทย
เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
นพ.พลเดช
ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า
เรื่องของวิถีทางเพศสภาพนั้นเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญ
ซึ่งแม้ขณะนี้คนทั่วไปบางส่วนอาจยังไม่ตระหนักหรือมองข้าม
หากแต่ประเด็นเหล่านี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งในอนาคตจะต้องเกิดความตระหนักรู้ และการยอมรับความแตกต่างด้านเพศภาวะ
เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อเรื่องของสิทธิ ความเท่าเทียมกันในสังคม
“ความเสมอภาคเป็นสิ่งสำคัญในการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ซึ่งความเสมอภาคจะต้องมาพร้อมกับความเป็นธรรมของคนในสังคม และคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ
โดยสิ่งเหล่านี้ทุกฝ่ายอาจต้องเข้ามาช่วยกันคิด ช่วยกันผลักดัน
สร้างความตระหนักและเปลี่ยนเจตคติของสังคม ซึ่งลำพังหน่วยงานราชการอาจมีข้อจำกัด
โดยเฉพาะความเคยชิน กรอบทัศนคติ รวมถึงประเด็นทางกฎหมาย ที่พรรคการเมืองอาจสามารถเข้ามาเป็นตัวเร่งในการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้”
นพ.พลเดช กล่าว
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ เลขานุการคณะทำงานทางการเมืองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า
วันนี้อยากให้เป็นการสถาปนาศาสนาเสรีเพศ ซึ่งจะมีนัยยะเพื่อการเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนในสังคม
ให้เปิดใจและทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทางเพศ ว่าเหมือนกับความแตกต่างทางศาสนา ที่ผู้อื่นจำเป็นจะต้องเข้าใจและให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
เช่นเดียวกับที่จะต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็ก ผู้หญิง
ผู้สูงวัย กลุ่มความหลากหลายทางเพศ กลุ่มชาติพันธุ์ หรือแม้แต่ผู้ที่เคยต้องโทษ ซึ่งมักจะถูกตีตราไปตลอดชีวิต
นายกิตตินันท์ ธรมธัช สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าวว่า
การถูกเลือกปฏิบัติที่สังคมเราประสบอยู่มีพื้นฐานหลักมาจาก 4 ข้อ คือ 1. ความไม่รู้ ไม่ตระหนัก 2. ความเกลียดชัง เกลียดกลัว 3. ทัศนคติความเชื่อ 4.
กฎระเบียบ นโยบาย มาตรการต่างๆ รวมถึงกฎหมายที่ให้การปกป้องสิทธิและเสรีภาพเฉพาะเพศหลักเท่านั้น
แม้การผลักดันสิ่งเหล่านี้จะมีความก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ
หากแต่ปัจจุบันเรายังคงพบปัญหาการถูกเลือกปฏิบัติ แม้กรอบรัฐธรรมนูญเองจะห้ามไว้
“ตลอด 3 ปี ทางสมาคมฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนที่นำไปสู่กระบวนการยุติธรรมมากกว่า 70
เคส จากการถูกเลือกปฏิบัติของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
ไม่ว่าจะเป็นในการเข้ารับบริการสาธารณสุข การทำงาน การบริจาคเลือด
การเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ หรือการแต่งกายตามเพศสภาพ
จึงอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจถึงกรอบความคิดเรื่อง SOGIESC
เพราะหากทุกคนยอมรับหลักนี้ ก็จะไม่มีใครถูกตราว่าเบี่ยงเบนทางเพศ
และไม่ต้องมีการเลือกปฏิบัติอีก” นายกิตตินันท์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ รอบคอบ ตัวแทนเครือข่ายคนรุ่นใหม่ กล่าวว่า ทุกปีทั่วโลกจะมีกิจกรรม Pride
Month ที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ซึ่งภาคธุรกิจเองก็ได้ใช้โอกาสนี้ในการส่งเสริมการขาย
มอบสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
ซึ่งหากภาครัฐเองมีมุมมองที่จะส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ
อาจสามารถสนับสนุนให้คู่รักเพศเดียวกันเดินทางมาจัดงานแต่งงานที่ประเทศไทย
ส่งเสริมเศรษฐกิจการจัดงาน การท่องเที่ยว และอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวเนื่อง
“เศรษฐกิจ LGBT
มีมูลค่ามหาศาล แต่ในไทยเองแม้แต่สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(TCEB) ที่ผลักดันธุรกิจ MICE
หรือกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เองก็เงียบกริบ มองไม่เห็นเรื่องพวกนี้
อย่างไต้หวันมีการจัดกิจกรรมสำหรับ LGBT มีคนต่างชาติเข้าร่วมมากมาย
สร้างรายได้เข้าประเทศไม่รู้เท่าไร
ส่วนไทยบอกเป็นสวรรค์ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
แต่ทุกวันนี้กฎหมายเองก็ยังคงไม่รองรับ” นายณัฐพงษ์ กล่าว
ขณะที่ นางเรืองรวี พิชัยกุล
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา กล่าวว่า ไม่เพียงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
แต่สำหรับเพศหญิงเองก็เป็นฝ่ายที่เผชิญกับการถูกตีตรา เลือกปฏิบัติ
หรือเป็นเหยื่อของความรุนแรงมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ด้วยกรอบความคิดและภาพคาดหวังของคนในสังคม
ที่มองแบบเหมารวมว่าเพศหญิงจะต้องมีบทบาทหน้าที่อย่างไร
ดังนั้นระบบวัฒนธรรมเรื่องสถาบันครอบครัวควรจะต้องรื้อใหม่ ว่าสามารถเป็นใครก็ได้
ไม่จำเป็นต้องมีพ่อและแม่เท่านั้นในครอบครัว
นางเรืองรวี
กล่าวว่า เรื่องของเพศภาวะจะเป็นฐานของการต่อสู้ในมิติของสิทธิและความเสมอภาค
ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 มีปัญหาเรื่องนี้เยอะมาก
มีการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ล้าหลัง เมื่อเทียบกับฉบับปี 2540 และปี 2550 จึงเชื่อว่าหลังจากนี้จำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องมาร่วมกันในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ด้าน นพ.ประทีป
ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องวิถีเพศภาวะ
เป็นหนึ่งในประเด็นที่มีความสำคัญ และถูกจัดให้เป็นกิจกรรม Side Event ที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของสังคม
รวมถึงสร้างกระแสและผนึกกำลังภาคีเครือข่ายต่างๆ
ที่จะนำไปสู่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 14
ซึ่งเตรียมจะจัดขึ้นในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้
อันจะเป็นการแสวงหาฉันทมติต่อการสร้างนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพและสุขภาวะแบบมีส่วนร่วมต่อไป