กทม.ร่วมกิจกรรม “เมื่อการข้ามเพศ ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ” รองผู้ว่าฯ ย้ำแนวคิดการดูแลทุกคน สร้างระบบบริการสุขภาพบุคคลหลากหลายทางเพศ หนุนการเรียนรู้-ยอมรับตั้งแต่ในเด็ก

รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมงานแถลงข่าวและฉายหนังสารคดี “เมื่อการข้ามเพศ ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐ” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการส่งเสริมสุขภาวะและลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนข้ามเพศในประเทศไทย (Transgender Health Access Thailand: T-HAT) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2565 เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน

รองผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่า นโยบายของ กทม. ต่อการพัฒนาสุขภาวะของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แนวคิดคือ Health for All ความหมายตามที่ผู้ว่าราชการ กทม. มักจะพูดถึงเสมอ คือการคิดถึงเรื่องของทุกคนในสังคม ให้คิดถึงคนที่ตัวเล็กที่สุด อยู่ในซอกหลืบ อยู่ในมุมเล็กๆ ไม่ว่าเขาเป็นใคร เราก็ดูแล ไม่ต้องเฉพาะเจาะจงว่าเป็นกลุ่มไหน

"เรารู้ว่าทุกคนหลากหลาย ทุกคนไม่เหมือนกัน และทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเป็นสิทธิ์เรื่องใดก็ตามก็เป็นสิทธิ์ที่เสมอกันหมด จากแนวคิดนี้ พูดง่ายๆ คือทุกคนต้องได้รับสิทธิ์ ต้องได้รับการดูแลเฉกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นท่านผู้ว่าฯ เองเน้นว่า ในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่อยู่ในสังคม เราต้องให้ความสำคัญและรู้จักเขาจริงๆ และเราก็ไม่ได้เจตนาดูแลเฉพาะสุขภาพ ไม่ได้ดูแลว่าเป็นโรคแล้วค่อยคุยกัน แต่ยังมองถึงว่าความต้องการลึกๆ คืออะไร" รศ.ดร.ทวิดา กล่าว

รศ.ดร.ทวิดา กล่าวว่า ในส่วนการดำเนินงานของ กทม. เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ มีตั้งแต่การให้นักเรียนในโรงเรียนมีการเรียนรู้ที่เป็นสังคมโลก ด้วยการให้ความสำคัญกับการ Learning มากกว่า Education ซึ่งการเรียนรู้ การมีปฏิสัมพันธ์ การยอมรับให้อีกคนหนึ่งสามารถมีความสุขเท่าตัวเองได้ เป็นรากฐานของสังคมในอนาคตที่ทำให้เราอาจไม่ต้องพูดเรื่องการยอมรับ เพราะการยอมรับอยู่ในฐานของวิธีคิดของนักเรียนของเด็กๆ ของเราผ่านการเรียนรู้เชิงสังคมในเรื่องนี้

ในส่วนของการดูแลเรื่องสุขภาพ ขณะนี้ในโรงพยาบาลของ กทม. 5 แห่ง เตรียมที่จะมี Pride Clinic หรือคลินิกสุขภาพเพศหลากหลาย เมื่อเข้าไปจะได้รับบริการทั้งด้านของจิตใจ ให้คำปรึกษา ฮอร์โมน โรคทางเพศสัมพันธ์ หรือเรื่องใดก็ตาม สามารถมารับบริการจาก Pride Clinic ของ กทม. ได้ โดยตอนนี้มี 11 แห่ง และภายในสิ้นปีนี้จะเพิ่มให้ได้ 16 แห่ง จากศูนย์บริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมทุกพื้นที่

ขณะเดียวกันในเรื่องตัวเลขของผู้ติดเชื้อ HIV ใน กทม. เป้าหมาย 95% ในปี 2568 หรือ 3-4 ปี จากนี้ ผู้ที่มีเชื้อที่พบว่าตัวเองเป็น HIV ต้องทราบสถานะของโรคของตัวเอง โดยขณะนี้ กทม.ทำได้อยู่เกินกว่า 95% ทราบสถานะ แต่เป้าหมายที่ 2 คือ 90-92% ผู้ที่ทราบสถานะได้รับการรักษา และมากกว่า 95% ไม่ได้แพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดยเฉพาะกรณีลูกติดเชื้อ HIV จากแม่แล้ว ซึ่งในส่วนนี้ กทม.ไม่มีแล้ว

"ถ้าพูดถึงความก้าวหน้าในการดูแลสุขภาพ กทม.พยายามเต็มที่และจะยังคงพยายามต่อไป ถ้าถามว่าอยากให้ดูแลสุขภาพแบบเบ็ดเสร็จไหม เป็นความต้องการมาก แต่มีหลายเรื่องที่กรุงเทพมหานครต้องพยายามต่อ แต่เรื่องสำคัญที่สุด คือเรื่องช่องว่างที่เราไม่มีข้อมูล ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ กทม. อยากได้มากคือความร่วมมือจากเครือข่ายเรื่องข้อมูล เพื่อทำให้คนที่ตกหล่นจากระบบกลับเข้ามาได้ เพราะเป็นจุดอ่อนของ กทม." รองผู้ว่าราชการ กทม. กล่าว

รศ.ดร.ทวิดา กล่าวอีกว่า การทำให้มีพื้นที่อย่างเป็นอิสระ กับการเลือกที่จะแสดงออก การเลือกที่จะมีกิจกรรม จะไม่ใช่แค่เพียงการเปิดพื้นที่ทิ้งไว้ แต่หมายความว่าหาก กทม.สามารถดำเนินงานทั้งทางด้านวัฒนธรรม สามารถดำเนินงานในการทำให้เป็นพื้นที่ทั่วไปมากที่สุดสำหรับทุกกลุ่ม เช่น Pride Month ต้องการพื้นที่แบบไหน ต้องการให้ กทม. ทำอะไร แล้วก็ในระยะต่อไป ทาง กทม. ขอความคิดเห็น ขอข้อมูลเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ และหวังว่าจะสามารถทำเรื่องนี้ร่วมกัน

"ประชากรของ LGBTQ+ กทม.มีประมาณ 1 แสนคน หรืออาจมากกว่านี้ ด้วยวิธีคิดสร้างสรรค์งานและกิจกรรมที่ดีมาก ซึ่ง กทม. อยากจะทำ อยากรับฟังทุกความเห็น และพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนทั้งพื้นที่ สุขภาพ ความเป็นอยู่ เหมือนทุกคนเป็นเพื่อนเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในสังคม และจะให้พวกเราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขต่อไป" รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวในตอนท้าย