
ยกเครื่อง 'บริการสุขภาพช่องปาก' สร้างความเข้มแข็งในระดับปฐมภูมิ 'มสช.-สสส.-สช.' เปิดวงแลกเปลี่ยน สู่ข้อเสนอการดูแลช่องปากคนไทย11 พฤศจิกายน 2565
"มสช.-สสส.-สช." เปิดวงถก! ยกเครื่อง "การพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ" พบปัญหาตั้งแต่วัยเด็ก-สูงวัย เน้นบูรณาการพลังเครือข่าย-กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2565 มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) สำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ (สำนัก 7 สสส.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมจัดงานเสวนา “การพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ” ภายใต้การดำเนินโครงการพัฒนากลไกการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพช่องปากประเทศไทย โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมประมาณ 60 คน
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ระบบบริการสุขภาพช่องปากไม่ใช่แค่เรื่องบริการทันตกรรมเท่านั้น แต่มุ่งเน้นระบบปฐมภูมิ ซึ่งเป็นเป้าหมายของระบบสุขภาพที่มีความสำคัญ เพราะมีความใกล้ชิดกับปัญหาและประชาชน แต่ยังมีข้อจำกัดและโจทย์ท้าทายมาก โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ที่แม้ระบบสาธารณสุขไทยจะสามารถรับมือได้ดี แต่ยังมีช่องโหว่หรือจุดอ่อน
"หากสามารถสร้างความเข้มแข็ง ทั้งการจัดการเชิงรุก-รับ มีระบบส่งต่อ ระบบวิชาการ จะทำให้ระบบสุขภาพไทยแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะก้าวของการถ่ายโอน รพ.สต. ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี และต้องได้รับการหนุนช่วยจากทุกภาคส่วน ที่สำคัญต้องให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นเจ้าของ" นพ.ประทีป กล่าว
ทพญ.สุณี วงศ์คงคาเทพ ประธานคณะอนุกรรมการวิชาการสนับสนุนการประสานและพัฒนาระบบสุขภาพช่องปากสำหรับประเทศไทย กล่าวว่า การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สถานการณ์ ช่องว่าง และระดมความคิดเห็น ข้อเสนอ ต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากที่พึงประสงค์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของประชาชน โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับท้องถิ่น ประชาชน และภาคเอกชน
สำหรับปัญหาสุขภาพช่องปากของไทย พบตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยมีสาเหตุสำคัญคือ 1. การดูแลสุขภาพช่องปากไม่ถูกต้อง 2. การดื่มนมที่มีส่วนผสมน้ำตาลของเด็ก 3. ปริมาณฟลูออไรด์ในยาสีฟันไม่เพียงพอ 4. การสูบบุหรี่
นายกิตติพงษ์ เกิดฤทธิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนใต้ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การถ่ายโอนภารกิจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นโอกาสดีที่ชาวบ้านจะได้มีแพทย์พยาบาลดูแล ร่วมกับพลังอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
ขณะเดียวกันมีสิ่งที่ต้องการคือ 1. ข้อมูลโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ส่งต่อโรงพยาบาลได้ 2. การให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ 3. การส่งเสริมสนับสนุน อปท.
"การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องเป็นไปแบบภาคีเครือข่าย และให้ความเป็นอิสระภายใต้กติกากำลังทรัพยากร บนผลประโยชน์ร่วมของประชาชนในพื้นที่ สิ่งสำคัญต้องทำให้เกิด Heath Literacy แล้ว Financial Literacy และ Digital Literacy จะตามมาอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นปัจจัยที่นำไปให้เกิดสุขภาวะ สร้าง รพ.สต.รอบรู้ สู่สังคมรอบคอบ" นายกิตติพงษ์ ระบุ
ขณะที่ นพ.บัญชา ค้าของ ที่ปรึกษาพิเศษนายกองค์การส่วนจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า กรณีตัวอย่างการขับเคลื่อน Phuket Health Sandbox ได้เน้นการจัดบริการให้ครอบคลุมด้วยรูปแบบที่เหมาะสมกับศักยภาพท้องถิ่น และมองว่าการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจะสามารถตอบโจทย์การสร้างการเข้าถึงบริการสุขภาพได้
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ต้องคิดร่วมกันคือการดูแลตัวเองแบบองค์รวม (Self Care) และเป้าหมายการบริการทันตกรรมคืออะไร ทุกคนสามารถเข้าถึงการคัดกรองได้หรือไม่ ท้องถิ่นเล็กรับผิดชอบดูแลประชาชนในพื้นที่ ไม่เฉพาะเรื่องสุขภาพช่องปากอย่างเดียว
"เรื่องยากที่สุดของท้องถิ่นคือ ไม่ง่ายที่จะทำอย่างไรให้เขาทำ จึงต้องเข้าใจว่าท้องถิ่นมีกระบวนการทำงานอย่างไร เพื่อนำไปสู่การออกแบบพัฒนาและขับเคลื่อนงาน บวกกับเอกชนเป็นกำลังสำคัญ มีสถาบันการศึกษาเข้ามาช่วย และภาครัฐให้การสนับสนุน" นพ.บัญชา กล่าว
นพ.โกเมนทร์ ทิวทอง รองผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ สธ. กล่าวว่า ประเทศไทยมี พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 ที่มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง และมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
ทั้งนี้ ข้อเสนอสำคัญคือ 1. ต้องบูรณาการการดำเนินงานระบบสุขภาพปฐมภูมิ ในประเด็นผู้สูงอายุ NCDs และสุขภาพจิต โดยให้หน่วยงานส่วนกลางจัดทำแนวทางดำเนินงาน เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่ดำเนินงานได้ 2. พัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนให้มีแพทย์ปฏิบัติงานในระบบสุขภาพปฐมภูมิอย่างยั่งยืน และ 3. พัฒนากลไกการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ให้เข้มแข็ง เช่น การจัดทำธรรมนูญสุขภาพหรือกฎกติการ่วม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวบ้านร่วมกันคิดและสร้างขึ้นมา
"ปัจจุบัน สธ. มีการปรับตัวการดำเนินงานให้รองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งปัจจุบันและอนาคต จะวัดผลการดำเนินงานระบบปฐมภูมิอย่างไร ความสำเร็จในพื้นที่เป็นอย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องคิดต่อ รวมไปถึงการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. เพื่อสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทาย" นพ.โกเมนทร์ ระบุ
ด้าน พญ.สุพัตรา ศรีวณิชชากร นายกสมาคมแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป/เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เวชศาสตร์ครอบครัว ถือเป็นศาสตร์และกระบวนการหนึ่งของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ บนฐานการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชนและครอบครัว การไม่ซ้ำซ้อน และมีความเชื่อมโยงแต่ละระดับ
ในส่วนของการออกแบบระบบบริการ มีหลายมิติที่ต้องคำนึงถึงและเชื่อมโยงกัน ไม่เฉพาะด้านเทคนิคบริการทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว เช่น หมอครอบครัว จิตวิทยา การทำงานกับชุมชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วม การบริหารจัดการ ระบบข้อมูลข่าวสาร การเชื่อมโยง ฯลฯ
"อย่าติดกับดักกรอบเดิมๆ หลายอย่างต้องก้าวให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และต้องมองแบบเป็นกลาง พยายามให้บริการปฐมภูมิที่เป็นอิสระและเชื่อมโยงได้ รวมถึงการประเมินผลและติดตามที่ยังเป็นจุดอ่อน ส่วนด้านกำลังคน อาจต้องมีวิธีบริหารบุคลากรสาธารณสุขแบบใหม่ที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น" พญ.สุพัตรา กล่าว
อนึ่ง การจัดเวทีเสวนาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย. 2565 โดยคณะทำงานจะนำข้อมูล ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปสรุปและวิเคราะห์ผล เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอต่อการขับเคลื่อนงานต่อไป