
8 หน่วยงานจับมือสร้างสุขภาวะ ‘สามเณร’ ประกาศ ‘ธรรมนูญสุขภาพ ร.ร.พระปริยัติธรรมฯ’ มุ่งบูรณาการมิติสุขภาพสู่การบวชเรียน22 มีนาคม 2566
สช.จับมือหน่วยงานภาคีเครือข่ายรวม 8 องค์กร ร่วมกันประกาศ
“ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ.2566” ทั้งตัวธรรมนูญแม่บท-ระดับเขต-ระดับโรงเรียน มุ่งบูรณาการขับเคลื่อนด้านสุขภาวะ
สู่พระสงฆ์-สามเณร-เจ้าหน้าที่กว่า 3.4 หมื่นรูป/คนทั่วประเทศ
หวังส่งเสริมศาสนทายาทมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ
เมื่อวันที่
20 มี.ค. 2566 คณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
(สช.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคีเครือข่ายรวม 8 องค์กร ร่วมกันทำพิธีประกาศธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ.2566
ณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือด้านการขับเคลื่อนสุขภาวะในโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ สามเณร บุคลากรในโรงเรียน
ชุมชน และสังคม ในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม
สำหรับภาคีความร่วมมือทั้ง
8 องค์กร ที่ประกอบด้วย สช. สำนักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร)
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ร่วมกันประกาศธรรมนูญฯ
ทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ “ธรรมนูญแม่บทโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา” “ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา ระดับเขต” จำนวน 14 เขต และ “ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
ระดับโรงเรียน” จำนวน 407 โรง
พระเทพเวที, รศ.ดร. รองอธิการบดี มจร ในฐานะประธานในพิธี
เปิดเผยว่า ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ นับเป็นข้อตกลงร่วมหรือกติกาที่เป็นเจตจํานงและพันธะร่วมของพระสงฆ์
สามเณร และภาคีที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
เพื่อเป็นกรอบและแนวทางการส่งเสริมสุขภาวะในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
ทั้งในระดับเขตและระดับโรงเรียนที่มีอยู่กว่า 400
แห่งทั่วประเทศ โดยมีสามเณร พระสงฆ์ และเจ้าหน้าที่การศึกษารวมกว่า 3.4 หมื่นรูป/คน ให้เป็นไปอย่างบูรณาการและเป็นองค์รวม
พระเทพเวที
กล่าวว่า ธรรมนูญสุขภาพโรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ จะเดินหน้าสอดคล้องตามกรอบเป้าหมายของ
ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ.2560
ที่ตั้งอยู่บนแนวคิดสำคัญ 3 ส่วน คือ 1.
พระสงฆ์ สามเณร กับการดูแลสุขภาพตนเองตามหลักพระธรรมวินัย 2.
ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ สามเณร ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย 3. บทบาทพระสงฆ์ สามเณร ในการเป็นผู้นําด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม
“โรงเรียนพระปริยัติธรรมฯ
ก็เปรียบเหมือนกับโรงเรียนมัธยม แต่เด็กจะเข้ามาบวชเรียนในฐานะของสามเณร ซึ่งมีทั้งการเรียนการสอนตามหลักสูตรขั้นพื้นฐาน
กับส่วนที่เสริมเข้ามาคือการศึกษาหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่เรียกว่านักธรรมบาลีด้วย
ซึ่งธรรมนูญฯ จะเข้ามาช่วยเสริมในเรื่องของสุขภาวะของสามเณร และบุคลากรเจ้าหน้าที่
ทั้ง 4 มิติ คล้ายกับหลักการของภาวนา 4 ไม่ว่าจะเป็นสุขภาวะทางกาย
จิต สังคม และปัญญา” พระเทพเวที กล่าว
ขณะที่
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
กล่าวว่า ในส่วนของหน่วยงานภาคีความร่วมมือทั้ง 8 องค์กร
มีจุดตั้งต้นจากการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การสร้างสุขภาวะโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา”
เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2565
ซึ่งทุกหน่วยงานล้วนเห็นความสำคัญของสุขภาวะของพระสงฆ์และสามเณร จนเกิดเป็นธรรมนูญฯ
ทั้ง 3 ระดับที่ประกาศครั้งนี้ อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพพระสงฆ์
สามเณร รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการจรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไป
“นอกจากการเกิดธรรมนูญฯ
ทั้ง 3 ระดับนี้แล้ว ก้าวสำคัญจะเป็นการขับเคลื่อนเพื่อให้เป้าหมายที่เราร่วมกันลงนามนี้เดินหน้าต่อไปได้ตามเป้า
เป็นสิ่งที่แต่ละภาคส่วนจะเข้ามาช่วยกันในการขับเคลื่อนต่อ ถือเป็นพันธสัญญาที่
สช. จะสานพลัง รวมกำลังจากทุกหน่วยงานมาช่วยกันต่อไป” นพ.ประทีป กล่าว
ด้าน
พระราชวัชราภรณ์
ประธานเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา กล่าวว่า
การศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ถือเป็นการสนองงานของพระสงฆ์ที่ให้เยาวชนเข้ามาบวชเรียน
เพื่อสร้างศาสนทายาทให้แก่พระพุทธศาสนา ฉะนั้นเรื่องสุขภาพจึงมีความสำคัญกับผู้ที่จะดำรงตนในฐานะศาสนทายาทนี้
และการเข้ามาช่วยกันสนับสนุนของญาติโยม ก็ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะเข้ามาช่วยเสริมภิกษุ
สามเณร ให้มีสุขภาวะที่ดีได้
พระราชวัชราภรณ์ กล่าวว่า
ธรรมนูญฯ ที่ร่วมกันประกาศในครั้งนี้ จะถือเป็นธรรมนูญแม่บทให้โรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา ต่อยอดไปสู่การบูรณาการเรื่องของสุขภาวะเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอน
ซึ่งจะกลายเป็นความยั่งยืนให้สามเณรรุ่นต่อไปได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องต่างๆ
เกี่ยวกับสุขภาพ อันจะเป็นประโยชน์ที่สำคัญต่อพระพุทธศาสนาต่อไป