การฟื้นฟูเมืองต้องคำนึงถึง ‘เศรษฐกิจฐานราก’ วงถกย้ำความสำคัญ ‘หาบเร่แผงลอย’ เอื้อให้คนทำมาหากิน-สร้างเมืองที่มีชีวิต3 ธันวาคม 2564
สช.จัดเสวนามองการเปิดเมืองกับ
“เศรษฐกิจฐานราก” ทิศทางฟื้นฟูหลังโควิด-19 วงถกชี้ความสำคัญ
“หาบเร่-แผงลอย” องค์ประกอบของเมืองที่มีชีวิต-ผู้คนมีงานทำ
ย้ำความสำคัญการมองภาพอนาคต ปรับตัวกับวิถีใหม่
ใช้การจัดการเชิงพื้นที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับ กทม.
เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2564 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
ร่วมกับมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ และภาคีเครือข่าย จัดเวทีสาธารณะ “เปิดเมืองกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก:
การสร้างความมั่นคงทางอาหาร
และการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19” ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Side Event) ของการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 14 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความเห็นต่อแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการเมือง
เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก
รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
เปิดเผยว่า หากพูดถึงเมืองในฝันที่ผู้คนจินตนาการ
คือเมืองที่มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี มีสิ่งแวดล้อม พื้นที่สีเขียว
อากาศที่ดี มีสวนสาธารณะให้ผู้คนออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ
ขณะเดียวกันคือการมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะ
ที่จะต้องเดินทางได้สะดวกทั้งคนที่มีร่างกายปกติ รวมไปถึงคนพิการ
รศ.ดร.สังศิต
กล่าวว่า อย่างไรก็ตามอีกส่วนที่จะเกี่ยวโยงกัน คือเมืองนั้นจะต้องมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี
เอื้อให้คนสามารถก่อตั้งธุรกิจได้ง่าย มีสถาบันการเงินที่ช่วยสนับสนุน เช่นเดียวกับระบบราชการ
รวมถึงกฎหมายที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ ครอบคลุมไปถึงเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของเมืองอย่างหาบเร่แผงลอย
ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ภาคส่วนนี้ความจริงแล้วมีขนาดใหญ่
และยึดโยงกับภาพเศรษฐกิจของประเทศ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเมืองต้องมีชีวิต
และเมืองที่จะมีชีวิตก็คือเมืองที่คนมีอาชีพ มีงานทำ ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและต้องมาก่อน
เรื่องสิ่งแวดล้อม ระบบโครงสร้างอื่นๆ ยังจัดการได้ แต่ก่อนอื่นภาครัฐจะต้องส่งเสริมให้คนพร้อมประกอบอาชีพสุจริต
สอดคล้องวิถีชีวิตของคนในสังคมนั้น เมืองแบบนี้จึงจะเป็นเมืองที่มีชีวิต” รศ.ดร.สังศิต
กล่าว
รศ.ดร.สังศิต
กล่าวอีกว่า ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แถลงในรัฐสภานับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายเร่งด่วนข้อแรกคือการสนับสนุนพ่อค้าแม่ค้าในการทำมาหากิน
แต่ปรากฎว่าสิ่งที่รัฐบาลแถลง กับสิ่งที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำมากลับสวนทางกัน มีการออกกฎระเบียบต่างๆ
ไล่ที่พ่อค้าแม่ค้าด้วยเหตุผลเรื่องของการจราจร และความสวยงาม จึงอยากฝากถึงรัฐบาลว่าได้มีการติดตามดูแลต่อหรือไม่กับนโยบายที่แถลงออกไป
ศ.วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า หลังเกิดวิกฤตโควิด-19 สิ่งที่เราต้องคิดใน 5 ลำดับขั้น ประกอบด้วย 1. Resolve การแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ทั้งในเรื่องสุขภาพ
เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา รวมไปถึงการเยียวยา ซึ่งในขั้นนี้ประเทศกำลังให้การทุ่มเทอยู่
2. Resilience ความพยายามประคับประคองให้ระบบอยู่ต่อไปได้
ไม่ให้สถานการณ์รุนแรง เศรษฐกิจยังพอไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามทำ 3. Return การทำให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตามเมื่อเราไม่รู้ว่าโควิด-19
จะจบลงแบบไหน หรือความปกติจะกลับมาเมื่อไร ขั้นที่สำคัญถัดมาจึงเป็น
4. Reimagine การสร้างจินตภาพใหม่
คิดถึงภาพอนาคตและเตรียมการแก้ไขปัญหาใหม่นี้ เช่น หากการเรียนการสอนในอนาคตต้องใช้ระบบออนไลน์เป็นหลัก
เราจะจัดการศึกษาอย่างไรให้ยังคงมีคุณภาพต่อไปได้ หรือการท่องเที่ยวจะเดินหน้าต่ออย่างไร
หากไม่มีนักท่องเที่ยวกลับมาขวักไขว่เหมือนเดิม และขั้นสุดท้ายคือ 5. Reform
การปรับระบบให้เข้ากับวิถีใหม่ เช่น การประชุมออนไลน์ ที่ทุกวันนี้เราใช้กันเป็นหลัก
“สถานการณ์ไทยขณะนี้เราให้ความสำคัญอยู่ใน
2 ขั้นแรกเยอะ แต่หัวใจสำคัญคือขั้นที่ 4-5 เพราะเมื่อโควิดได้ขยายภาพปัญหาในสังคมไทยหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจถดถอย
ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง ผลกระทบภาคบริการและแรงงาน ระบบสาธารณสุขฐานราก เราจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว
และมีการจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่” ศ.วุฒิสาร กล่าว
ศ.วุฒิสาร กล่าวว่า ข้อดีหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากโควิด-19
คือความสำเร็จส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากการจัดการเชิงพื้นที่
ที่ให้อำนาจการตัดสินใจแก่พื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) คิดหาทางออก
เกิดการออกแบบการแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทของแต่ละพื้นที่ รวมถึงความสามารถในการค้นหากลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาในพื้นที่ได้มากขึ้น
ดังนั้นหัวใจสำคัญจึงเป็นการ Reimagine สร้างจินตภาพใหม่ ที่จะมีความสำคัญกับวิธีคิดของทุกเมือง
โดยเฉพาะ กทม. อันนำไปสู่การ Reform หรือเปลี่ยนแปลงในที่สุด
ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หาบเร่แผงลอยกับเมือง
นับเป็นโจทย์สำคัญในเชิงวางผังและออกแบบเมือง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่หลายเมืองพยายามหาคำตอบมาหลายทศวรรษ
และหลายเมืองได้หาทางออก เช่น สิงคโปร์ ได้นำแผงลอยสตรีทฟู้ด
รวมไว้ในศูนย์ที่มีการจัดการหรือฮอว์เกอร์เซนเตอร์ หรือไทเป ที่ย้ายแผงสตรีทฟู้ดเข้าไปอยู่ตามตรอกซอย
โดยมีการนำเข้าระบบและจ่ายภาษี เพื่อกลับมาใช้ในการดูแลความสะอาด เป็นต้น
“สิ่งสำคัญคือการจัดการอย่างมืออาชีพ
โดยหัวใจคือกระบวนการออกแบบร่วมหารือในระดับย่าน การบูรณาการแผนและนโยบาย เพื่อให้แรงงานที่อาจเคยอยู่นอกระบบเหล่านี้
สามารถกลับมาประสาน มีที่ทางอยู่ในเมืองได้ ซึ่งข้อเสนอสำหรับ กทม.
คือการหาบาทวิถีที่มีความเหมาะสมเพื่อนำร่องในการบริหารจัดการใหม่
และในระยะยาวอาจมองพื้นที่ของภาครัฐอื่นที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อยู่ เช่น พื้นที่ใต้ทางด่วน
มาเป็นโอกาสในการปรับปรุง” ผศ.ดร.นิรมล กล่าว
ขณะที่ นพ.วงวัฒน์ ลิ่วลักษณ์
ประธานคณะทำงานติดตามและขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำหรับอนาคตของ
กทม.นับจากนี้ จะอยู่ในมือของชาว กทม.ทุกคน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าที่จะเข้าสู่วาระการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ
และสมาชิกสภา กทม. ที่จะเข้ามาบริหารเมืองแห่งนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามในเรื่องนี้
ศึกษาถึงนโยบาย มุมมองต่างๆ ของผู้สมัครแล้วตัดสินใจ รวมถึงการติดตามต่อหลังจากนั้นว่านโยบายต่างๆ
ที่เสนอมานั้นได้ทำหรือไม่
“หลังโควิด-19
ทุกคนจะต้องปรับตัวขนานใหญ่ ไม่ว่าภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน บนโลกนับจากนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
มีการแข่งขันสูง และทุกคนต้องพัฒนาปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด เช่นเดียวกับการจัดการปัญหาใน
กทม.ที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งต้องการการมีส่วนร่วม และที่สำคัญคือการใช้ฐานข้อมูลที่ชัดเจนในการจัดการปัญหา”
นพ.วงวัฒน์ กล่าว
ด้าน นพ.ปรีดา แต้อารักษ์
รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า โควิด-19 นั้นส่งผลกระทบต่อคนไม่เท่ากัน
โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้คนที่อยู่ในระดับฐานราก ซึ่งนับเป็นเรื่องท้าทายว่าเราจะใช้โอกาสและการฟื้นฟูหลังจากนี้
เพื่อสร้างความยั่งยืนในสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ
กระจายทรัพยากรให้เข้าถึงทุกคนได้อย่างเป็นธรรมได้อย่างไร
โดยสิ่งสำคัญคือความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่จะมองไปข้างหน้าและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน
“การจัดเวทีในวันนี้เป็นกิจกรรมคู่ขนานในช่วงของการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ
ซึ่งในปีนี้มีประเด็นสำคัญหนึ่งคือการคุ้มครองกลุ่มประชากรเฉพาะให้เข้าถึงบริการสุขภาพ
เช่นเดียวกับสมัชชาสุขภาพกรุงเทพมหานคร ซึ่งปีนี้ได้มีการพูดถึงการใช้พื้นที่สาธารณะ
รวมถึงการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิร่วมกัน เป็นกระบวนการที่ สช. และภาคีเครือข่าย จะมาร่วมกันมองอุปสรรคและหาทางออกร่วมกัน”
นพ.ปรีดา กล่าว