
พิทักษ์ ‘เจตนาสุดท้าย’ ของผู้ป่วย รักษา ‘สิทธิด้านสุขภาพ’ ประชาชน สช. ผนึกภาคีวางระบบ ‘e-Living Will’ ‘พินัยกรรมชีวิต’ ที่เชื่อมโยงทุก รพ.2 มิถุนายน 2566
‘สิทธิด้านสุขภาพของประชาชน’ ได้รับการรับรองไว้ใน พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยหนึ่งในนั้นคือ ‘สิทธิที่จะปฏิเสธการรักษา’ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข
สิทธิที่จะปฏิเสธการรักษานั้น เป็นบทบัญญัติอยู่ใน มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ที่ระบุว่า บุคคลมีสิทธิทําหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
ย้ำว่า 1. ต้องเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต และ 2. ต้องเป็นการรักษาที่เป็นไปเพื่อ ‘ยืดการตาย’ เท่านั้น จึงจะเข้าเงื่อนไข
ปฏิเสธการรักษาทำไม ?
แล้วทำไมเราต้องมาพูดกันเรื่อง ‘การปฏิเสธการรักษา ?’
ต้องเข้าใจก่อนว่า ทุกวันนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จึงมีหลายครั้งที่ถูกใช้ไปเพียงเพื่อ "ยื้อ" และเหนี่ยวรั้งชีวิตเอาไว้ในลักษณะฝืนธรรมชาติ
กล่าวคือ ในขณะที่สัญญาณชีพของผู้ป่วยริบหรี่ ไม่สามารถสื่อสารหรือแสดงความต้องการใดๆ ได้ การชี้ขาดหรือการตัดสินใจมักเป็นอำนาจของคนใกล้ชิด-ครอบครัว ซึ่งการตัดสินใจส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของคนรักออกไปให้ได้นานที่สุด
คำถามก็คือ ระหว่างร่างกายที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางกับการจากไปตามธรรมชาติ ด้วยความสงบ อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วยกันแน่ ?
นี่จึงถือเป็น ‘สิทธิด้านสุขภาพ’ ของผู้ป่วยเอง และแน่นอน มาตรา 12 ก็ได้เปิดช่องเอาไว้ให้ ‘เจ้าของร่างกาย’ ได้เลือกสร้างสุขที่ปลายทางให้กับตัวเอง
มากไปกว่านั้น หากย้อนกลับไปทบทวนสถิติเมื่อปี 2561 จะพบว่า คนทั่วโลกสูญเสียเงินไปกับค่ารักษาพยาบาลในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างมหาศาล
งานวิจัยเรื่อง The Economics of End-of-Life Spending ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็ปไซต์ Oxford Research Encyclopedias ระบุว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในช่วง 12 เดือนก่อนเสียชีวิต คิดเป็นประมาณ 10% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมดในหลายประเทศ
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับข้อมูลจาก สมาคมบริบาลผู้ป่วย ที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของการรักษาเพียงเพื่อยืดเวลาการมีชีวิตของคนในสหรัฐอเมริกา สูงมากถึง 60% ของค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยทั้งประเทศ
ใช่หรือไม่ว่า การยืดลมหายใจผู้ป่วยออกไปเพื่อรอปาฏิหาริย์ นอกจากจะไม่สอดคล้องกับความจริงของชีวิตแล้ว ยังสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายในระดับโครงสร้างประเทศ
แยกให้ออก เพราะไม่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจและแยกให้ออกระหว่าง ‘สิทธิตามมาตรา 12’ และ ‘การุณยฆาต’ เพราะถึงแม้ว่าทั้งสองเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการให้ ‘สิทธิ’ แก่ประชาชน แต่ก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั่วโลกมีสิทธิการตายหลักๆ อยู่ 2 แบบ ได้แก่ 1. แบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การรับรอง 2. แบบเร่งรัด หรือขอตายก่อนเวลา เช่นกรณีผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดต่อไปได้จึงร้องขอให้แพทย์ทำการุณยฆาต ซึ่งปัจจุบันมีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีกฎหมายรับรองให้สามารถกระทำได้อย่างถูกต้อง
สำหรับประเทศไทย “การตายตามธรรมชาติ” มี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 รับรอง โดยให้สิทธิทุกคนสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตได้ (Living Will)
กรณีนี้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเลือกตายอย่างสงบโดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือต่างๆ ซึ่งจะไม่ใช่การเร่งตายแบบการุณยฆาต ดังนั้นแพทย์ที่ทำตามหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วยจะไม่ถือว่ามีความผิดใดๆ
ส่วน “การเร่งตาย” ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ การทำให้ตายเร็วขึ้นไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ที่ดีหรือไม่ก็ตามทางกฎหมายจะมองว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่าทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงเข้าข่ายความผิดต่อชีวิตคือการพยายามฆ่าทุกกรณี
สช. ขับเคลื่อน e-Living Will
หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตได้ (Living Will) นั้น อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือเป็น ‘หลักฐานเพื่อแสดงเจตนา’ ของตัวผู้ป่วย ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อยู่ในสภาพที่ตัดสินใจได้ หรือไม่มีสติ
ที่ผ่านมา ประชาชนมีการวางแผนการดูแลรักษาล่วงหน้า และมีหนังสือ Living Will ส่วนหนึ่งที่ได้แสดงเจตนาไว้ ถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจายในโรงพยาบาลต่างๆ ทว่าปัจจุบันกำลังจะถูกพัฒนาให้เป็นระบบ e-Living Will (e-LW) ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาจัดการเอกสาร รวบรวมเป็นฐานข้อมูลในจุดเดียว ซึ่งจะทำให้โรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ได้เห็นถึงเจตนาของผู้ป่วยผ่านหนังสือ e-Living Will ในอนาคต เพื่อได้วางแผนการดูแลรักษาตามที่ต้องการ และไม่ทำให้หนังสือ Living Will ต้องตกหล่น หายไป
การยกระดับหนังสือ e-Living Will กำลังถูกขับเคลื่อนจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นแกนหลักในการประสานความร่วมมือข้ามภาคส่วนเพื่อทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ
สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ให้ภาพถึงความจำเป็น และการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับหนังสือ Living Will ให้เป็นหนังสือ e-Living Will ว่า หนังสือ Living Will ของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ถือเป็นส่วนสำคัญในมาตรฐานการวางแผนการดูแลล่วงหน้าสำหรับประเทศไทย (Thai Standards for Advance Care Planning : ACP) ที่ถูกพัฒนามาต่อเนื่อง และล่าสุดที่เครือข่าย ACP ที่มีทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน เห็นตรงกันว่าควรพัฒนาหนังสือ Living Will ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์ ให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน และเชื่อมโยงกันกับทุกโรงพยาบาล
ทั้งนี้ เพราะเมื่อก่อน หากผู้ป่วย หรือประชาชนที่ยังไม่ป่วยก็ตาม ที่ต้องการเขียนหนังสือ Living Will จะต้องเขียนลงกระดาษ และเมื่อถึงเวลาระยะสุดท้ายมาถึงหนังสืออาจหายไป หาไม่เจอ หรือแม้แต่ย้ายที่อยู่ ไปทำงานที่อื่น หนังสือไม่ได้อยู่กับตัว หรืออยู่ที่โรงพยาบาลเดิม ประสานกันไม่ได้
ฉะนั้น หากมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบสารสนเทศที่บันทึกหนังสือแสดงเจตนาเอาไว้ในจุดเดียว พร้อมกับเชื่อมข้อมูลระหว่างกัน และโรงพยาบาลสามารถเรียกเข้าดูได้ หนังสือ e-Living Will ก็ยังทำหน้าที่แสดงเจตนาของผู้ป่วยระยะท้ายได้ต่อไป เพื่อให้แพทย์ได้ดูแลตามความต้องการของผู้ป่วยเมื่อระยะสุดท้ายมาถึง
รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขาพแห่งชาติ สำทับว่า ปัจจุบันมีหนังสือ Living Will อยู่ราว 1.1 แสนฉบับ ที่คนไทยได้แสดงเจตนาความต้องการการดูแลในระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ และหากมีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต จะมีการถูกรวบรวมเอาไว้เป็นฐานข้อมูลในจุดเดียว ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งสามารถเรียกดูผ่านระบบออนไลน์ หรือเป็นข้อมูลที่อยู่ในเวชระเบียนของผู้ป่วยด้วย
“ภาคีเครือข่ายกำลังเลือกพื้นที่นำร่องทำระบบจัดการ ก่อนจะขยายไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งหากทำได้สำเร็จหรือมีผลที่น่าพอใจ ก็จะมีการประสานต่อไปยังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยกับโรงพยาบาลของภาครัฐ และจะมีการเชื่อมข้อมูลกับโรงพยาบาลเอกชนด้วยเช่นกันในอนาคต" รองฯ สุทธิพงษ์ ย้ำ
Living Will เชื่อม สธ.-สปสช.
สอดรับกับ ศ.คลินิก นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา ประธานกรรมการกำกับทิศการขับเคลื่อนมาตรฐานการวางแผนการดูแลล่วงหน้าสำหรับประเทศไทย หรือ ACP ที่เสริมถึงความสำคัญที่ต้องมีหนังสือ e-Living Will ว่า ในหลายครั้งที่หนังสือ Living Will ที่เป็นเอกสาร ไม่สามารถค้นพบได้ง่าย อาจหายไป หรือไม่มีการจัดเก็บที่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เขียนหนังสือ Living Will เอาไว้ ไม่ได้รับการตอบสนองตามความต้องการ เพราะแพทย์เองก็ไม่รู้ถึงความต้องการของผู้ป่วยที่ได้แสดงเจตนาเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงนำไปสู่แนวคิดการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยจัดการ ซึ่ง สช. เข้ามาเป็นหน่วยงานต้นเรื่องในการประสานภาคีเครือข่าย หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคประชาชน ได้เข้ามาระดมความคิดเห็นกัน ซึ่งภาคีเครือข่ายต่างๆ เห็นด้วยกับการจัดทำให้หนังสือ Living Will ให้อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ในจุดเดียวกัน และเชื่อมโยงไปยังฐานข้อมูลผู้ป่วยของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รวมไปถึงระบบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง เพื่อให้โรงพยาบาลที่เมื่อเรียกดูข้อมูลของผู้ป่วย ก็จะได้เห็นหนังสือ Living Will ที่ผู้ป่วยได้แสดงเจตนาเอาไว้
นพ.สุพรรณ สะท้อนด้วยว่า หนังสือ Living Will สำคัญอย่างมากต่อการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยได้เลือกแนวทางการรักษาที่ต้องการ และไม่ต้องการได้ด้วยตัวเอง หรือปรึกษาร่วมกันกับแพทย์ ก่อนที่จะแสดงเจตนาผ่านหนังสือ Living Will และจะสำคัญอย่างมากหากหนังสือ Living Will ถูกจัดเก็บเอาไว้ในระบบออนไลน์ที่สามารถเรียกดูได้ เพื่อยืนยันได้ว่าวาระสุดท้ายของผู้ป่วยจะได้รับการตอบสนองตามที่ต้องการ และยังเป็นเป้าหมายสำคัญของ ACP ที่จะช่วยให้โรงพยาบาลได้วางแผนการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ถูกต้อง
อีกมุมจากหนึ่งในแนวร่วมที่ได้ขับเคลื่อนพัฒนาหนังสือ e- Living Will รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล จากศูนย์การุณรักษณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ภาพว่า แพลตฟอร์มการรวบรวมหนังสือ Living Will เข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือหนังสือ e- Living Will หากทำได้สำเร็จ จะทำให้แพลตฟอร์มนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลหนังสือ Living Will ไว้ในจุดเดียว และให้ทุกโรงพยาบาลสามารถลงทะเบียนเข้าสู่ระบบและดูข้อมูลของผู้ป่วย โดยเฉพาะกับผู้ป่วยระยะท้ายที่โรงพยาบาลจะต้องดูแล
ขณะเดียวกัน หากระบบข้อมูลของผู้ป่วยจากกระทรวงสาธารณสุข ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นระบบเดียวกันทั่วประเทศแล้ว แพลต์ฟอร์ม e- Living Will ที่รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเอาไว้ ก็จะถูกนำไปเชื่อมต่อในอนาคต ทำให้บุคลากรแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยได้ และจะได้วางแผนการดูแลให้ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยที่แสดงเจตนาเอาไว้
ปชช. ยังรับรู้ ‘สิทธิสุขภาพ’ น้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางของหนังสือ Living Will กำลังถูกขับเคลื่อนให้มีระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่ดีมากขึ้นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่กระนั้น ในมุมของการรับรู้ถึงสิทธิสุขภาพสำหรับประชาชน และบุคลากรการแพทย์นั้น รศ. พญ. ศรีเวียง สะท้อนว่า การรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือ Living Will ยังคงน้อยอยู่ และที่ผ่านมายังไม่มีการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างให้ครอบคลุม
รศ.พญ.ศรีเวียง ขยายความว่า เพราะการเข้าถึงหรือการรับรู้เรื่องของหนังสือ Living Will มีการทำสำรวจและวิจัยเรื่องนี้ จากข้อมูลพบว่า บุคลากรการแพทย์ก็ยังไม่เข้าใจ หรือเข้าถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำหนังสือ Living Will แต่คนที่จะรู้ดีคือพยาบาล หรือทีมที่ดูแลผู้ป่วยประคับประคอง ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ได้รับการบรรจุเรื่องนี้เข้าในในกลุ่มโรงเรียนแพทย์เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ อาจเพราะกลุ่มที่เกี่ยวข้องยังไม่ตระหนักกับเรื่องนี้ ส่วนภาคประชาชน ก็พบว่า คนที่อยู่ในเมืองจะรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือ Living Will มากกว่าคนที่อยู่ต่างจังหวัด แต่ตัวเลขก็ยังน้อยเพราะมีคนรับรู้แค่เพียง 20% เท่านั้น
"แต่ระยะปีนี้ ที่สช.รณรงค์ขับเคลื่อนการทำหนังสือ Living Will อย่างเข้มข้น เชื่อว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ประชาชนจะรับรู้เรื่องของการทำหนังสือ Living Will มากขึ้น ขณะที่อนาคต จะมีการพัฒนาแบบฟอร์มของหนังสือเพื่อให้ประชาชนเขียนแสดงเจตนาสุดท้ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้การเข้าถึงมากขึ้นตามมาเช่นกัน" รศ.พญ.ศรีเวียง กล่าวในตอนท้าย