ทิศทางนับจากนี้ ‘บ้าน-ชุมชน’ จะกลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญ ดูแลสุขภาพแทน ‘โรงพยาบาล’
24 กุมภาพันธ์ 2565
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

ระบบสุขภาพปฐมภูมิเปรียบได้กับ รากแก้ว ที่หยั่งลงลึกมากเพียงใด ก็นำมาสู่ความ มั่นคงทางสุขภาพ มากขึ้นเท่านั้น

 

นั่นเพราะ ระบบสุขภาพปฐมภูมิ จะมีหน่วยบริการปฐมภูมิทำหน้าที่เป็น “ด่านหน้าในการดูแลประชาชน ซึ่งจะกระจายตัวออกครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกคนจึงสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างต่อเนื่องและถ้วนทั่ว ทั้งในแง่การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ การส่งเสริมสุขภาพ รวมถึงการป้องกันโรค

 

การยกระดับระบบสุขภาพปฐมภูมิ เป็นโจทย์ตัวใหญ่ที่ได้รับความสนใจมาโดยตลอด และหากย้อนกลับไป 1 ทศวรรษ หรือเมื่อ 12 ปีก่อน จะพบว่าประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกันอย่างจริงจัง

 

ในงาน “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในปี 2552 ภาคีสมาชิกสมัชชาสุขภาพได้ร่วมกันให้ฉันทมติในระเบียบวาระ “การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิเพื่อการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพของประชาชน”

 

ในครั้งนั้นสมาชิกสมัชชาสุขภาพต่างร่วมกันให้ความเห็นว่า หน่วยบริการปฐมภูมิจำนวนมากยังต้องได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐาน ทั้งการสนับสนุนบุคลากร ทรัพยากรที่เพียงพอเหมาะสม และความต่อเนื่องในการพัฒนา

 

เพราะนี่จะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ

 

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กล่าวได้ว่าการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ได้มุ่งให้ความสำคัญมายังระบบสุขภาพปฐมภูมิมากขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายที่ให้เป็นบริการ “ลำดับแรก” ก่อนที่จะไปสู่บริการในระดับอื่นๆ หรือการพัฒนากลไกที่ให้ “ท้องถิ่น” เข้ามามีส่วนในการพัฒนาบริการปฐมภูมินี้

 

1 ทศวรรษให้หลัง “พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 ได้ถือกำเนิดขึ้น บนความตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปี จะต้องมีการจัดระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่มีคุณภาพให้กับประชาชน ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีเพิ่มขึ้น และช่วยลดรายจ่ายของประเทศได้ในระยะยาว

 

เพื่อเดินหน้าตามเป้าหมายดังกล่าว กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้จัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ตาม พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 และเสนอต่อสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนที่จะได้รับความเห็นเพิ่มเติมในหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ

 

เริ่มตั้งแต่วิสัยทัศน์ที่จะต้องสะท้อนแนวคิดของระบบสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนฐานการดูแลสุขภาพจาก “โรงพยาบาล” เป็นการใช้ “บ้านและชุมชน” โดยมีประชาชนเป็นผู้ขับเคลื่อนระบบ และแทนที่รัฐจะเป็นผู้ลงทุนหลัก แต่ปรับเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคเอกชน และภาคประชาชน

 

สศช.ยังได้แนะนำเพิ่มถึงยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแผนปฏิบัติการฯ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มแนวทางรองรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ อาทิ การวางระบบการดูแลในชุมชน เน้นการรักษาแบบประคับประคองและระยะท้าย เพื่อรองรับการเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ หรือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ให้บริการ เช่น Telemedicine หรือ Personal Health Record ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ดิจิทัล

 

ขณะเดียวกันจากบทเทียนโควิด-19 ระบบสุขภาพปฐมภูมิยังจะต้องรองรับโรคอุบัติใหม่ โรคระบาด และภัยธรรมชาติอย่างฉับพลัน รวมทั้งการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการจัดระบบบริการตามบริบทที่แตกต่างกัน เน้นการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ตอบสนองกับบริบทสังคมเมือง ที่มีความเปราะบาง

 

ภายหลังดำเนินการปรับแก้ไข จนได้ออกมาเป็น (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านระบบสุขภาพปฐมภูมิ (พ.ศ.2564 - 2575) ล่าสุด สธ.ก็ได้มีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และได้มีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2565

 

ทั้งนี้ ครม.ยังได้เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายปี เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยในเบื้องต้นแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ได้ประมาณการกรอบวงเงินงบประมาณ รวมทั้งสิ้น 67,956.986 ล้านบาท

 

สำหรับแผนปฏิบัติการด้านระบบสุขภาพปฐมภูมิ (พ.ศ.2564-2575) มีเป้าประสงค์ให้ประชาชนมีความรอบรู้สามารถจัดการสุขภาพตนเองได้ มีความเชื่อมั่น ศรัทธา สามารถเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และมีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืน ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เพิ่มศักยภาพบริการสุขภาพปฐมภูมิทุกรูปแบบ ที่ขับเคลื่อนโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการฯ ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้มีศักยภาพเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาและสร้างกลไกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและคณะผู้ให้บริการฯ พัฒนากลไกการจัดการกำลังคนด้านสุขภาพให้ทำงานเป็นทีม มีความเข้าใจที่ตรงกัน และเสริมสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากร

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลการบริการและการบริหารจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิ นำเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมด้านสุขภาพมาใช้ในการให้บริการปฐมภูมิ สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนากำลังคนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนากลไกและกระบวนการสร้างหลักธรรมาภิบาลในการอภิบาลระบบสุขภาพปฐมภูมิ บังคับใช้กฎระเบียบกลไกการบริหารจัดการ บูรณาการทรัพยากรในการจัดบริการ และกำกับติดตาม การประเมินผล เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้

 

ยุทธศาสตร์ที่ 5 เสริมสร้างองค์ความรู้และสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเครือข่ายและชุมชน บูรณาการองค์กรทุกภาคส่วนเพื่อจัดการปัจจัยกำหนดสุขภาพทางสังคม ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถดูแลจัดการสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้ รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสุขภาพปฐมภูมิ ให้ประชาชน

 

ทั้งหมดนี้คือแผนปฏิบัติการ ที่ตั้งมั่นว่าภายใน 10 ปีนับจากนี้ จะมีระบบสุขภาพปฐมภูมิที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม บนความเชื่อมั่นศรัทธา และมุ่งสู่การมีสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่อไป