แก้โจทย์ท้าทายภายใต้ ‘ระบบสุขภาพ’ ต้องการส่วนร่วมจาก ‘ภาคประชาชน’ มุมมองเห็นพ้องจากหน่วยงาน 5 ส. หนุน คนส. สานพลังสร้างสังคมสุขภาวะ
14 มิถุนายน 2566
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

การเสวนาและแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องระบบสุขภาพไทย ในบทบาทของหน่วยงานสุขภาพ เป็นอีกหนึ่งเวทีสำคัญของหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายนักสานพลังสร้างสุขภาวะในพื้นที่ (คนส.) รุ่นที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อระหว่างวันที่ 9-11 มิ.. 2566 บนวัตถุประสงค์ที่ต้องการสร้างและพัฒนาศักยภาพคนทำงานกลุ่มใหม่ เป็นเครือข่ายขับเคลื่อนงานในการสร้างสุขภาวะให้กับพื้นที่

 

เนื่องด้วยเนื้อหาของเวทีนี้ ผู้เข้าอบรมหลักสูตรต่างได้ร่วมกันทำความเข้าใจ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับ หน่วยงาน 5 .” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพและสุขภาวะ อันประกอบไปด้วย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

 

ประเด็นจากบทเรียนและข้อคิดเห็นที่เกิดขึ้นจากเวทีนี้ ก็เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจถึงภาพรวมการจัดระบบสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม จากหน่วยงานที่เป็นกลไกสำคัญต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ร่วมกับมุมมองการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ที่จะสามารถเข้ามาร่วมจัดการกับระบบสุขภาพในระดับพื้นที่ได้

 

จากใจผู้ให้บริการเน้นย้ำผู้รับบริการต้องมีส่วนร่วม

 

นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เปิดประเด็นบนเวทีแลกเปลี่ยน โดยระบุถึงการเข้ารับบริการสุขภาพของประชาชนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เพราะในทุกมิติของสังคมล้วนมีผลเชื่อมโยงมายังเรื่องสุขภาพของประชาชนทั้งหมด ไม่ว่าจากบริบทความเป็นเมือง ปัญหาฝุ่นพิษ พร้อมกันนั้นก็ยังเผชิญกับความท้าทายจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่เมื่อประชาชนอายุเพิ่มขึ้นก็จะเจ็บป่วยมากขึ้น เป็นต้น



 

ตัวแทนจาก สธ. ขยายความว่า การเข้ารับบริการสุขภาพที่มากขึ้น ย่อมส่งผลให้การทำงานของแพทย์ต้องมากขึ้นตาม ซึ่งในประเด็นด้านกำลังพล หรือบุคลากรทางการแพทย์นั้น สธ. เองก็มีแผนที่จะจัดการในเรื่องนี้

 

อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินการในวันข้างหน้า คือการปฏิรูปเขตสุขภาพที่จะต้องมีการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน ทุกภาคีเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ได้ร่วมกันใช้ทรัพยากรด้านสุขภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุดฃ

 

สิ่งที่ต้องมาร่วมกันพัฒนาขับเคลื่อนต่อไป คือการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ และการส่งเสริมป้องกันสุขภาพในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนและท้องถิ่น ต่างสนใจที่จะเข้ามีส่วนร่วมขับเคลื่อนระบบสุขภาพ เพราะเข้าใจดีแล้วว่าสุขภาพไม่ใช่เรื่องของการรักษาหรือการให้ยา แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรค หรือส่งเสริมสุขภาพให้ดีก่อนเป็นโรคได้นพ.สุเทพ ระบุ

 

ต่อด้วยมุมมองจาก นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ให้ภาพว่า หลักการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) นั่นคือการทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพเมื่อเจ็บป่วยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นการที่บอกว่าระบบบัตรทองทำให้คนเข้ารับบริการมากขึ้นเมื่อมีความจำเป็น สปสช. จึงคิดว่าถูกต้องแล้ว และเป็นการสะท้อนถึงระบบบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น



 

ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายสำหรับอนาคต คือการสร้างองค์ความรู้กับประชาชนให้สามารถคัดกรองสุขภาพตัวเองได้เบื้องต้น สำหรับอาการเจ็บป่วยต่างๆ และสามารถดูแลตัวเองได้ สำหรับบางโรค บางอาการ ที่ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ ผนวกทั้งการเพิ่มเครื่องมือการตรวจคัดกรองเบื้องต้นอย่างง่าย ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพด้วยตัวเอง

 

ความท้าทายคือการทำให้ประชาชนทุกคนมีองค์ความรู้เรื่องนี้ ซึ่งต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกคน โดยเฉพาะตั้งแต่ระดับตำบล ที่จะช่วยกันทำให้คนในพื้นที่ได้เรียนรู้ด้านสุขภาพของตัวเอง การตรวจคัดกรอง การป้องกัน และการส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคไว้ก่อน ซึ่งจะเป็นการทำให้ระบบสุขภาพมีความแข็งแรงและยั่งยืนนพ.จเด็จ กล่าว

 

เลขาธิการ สปสช. ยังเสริมด้วยว่า ที่ผ่านมา สปสช. ได้เริ่มใช้กระบวนการพูดคุยแลกเปลี่ยนร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการสุขภาพ โดยเฉพาะกับภาคประชาชน ซึ่งทำให้เกิดการร่วมกันออกแบบการบริการสุขภาพที่เหมาะสมกับพื้นที่ และตรงกับความต้องการของประชาชน

 

ระบบสุขภาพจะเข้มแข็งและยั่งยืนได้ ระดับบนอาจต้องปรับความคิดใหม่ และเชื่อมั่นว่าประชาชนสามารถมีองค์ความรู้ และดูแลสุขภาพตัวเองเบื้องต้นได้ แต่ก็ต้องเกิดการขับเคลื่อนร่วมกันอย่างมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพนพ.จเด็จ ให้แนวทาง

 

องค์ความรู้-นวัตกรรม การสานพลังสู่สังคมสุขภาวะดี

 

ในส่วนของ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. อธิบายถึงบทบาทการเชื่อมโยงการทำงานของ สสส. สู่ภาคีเครือข่าย โดยระบุว่า สสส. จะเข้าไปลงทุนกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่สามารถทำงานสร้างเสริมสุขภาพให้เกิดความสำเร็จได้

 

ทั้งนี้ เขาเปรียบ สสส. เสมือนเป็นต่อมใต้สมอง ที่เข้าไปสานพลัง สร้างนวัตกรรม และเข้าไปสื่อสารเพื่อให้กระบวนการต่างๆ ในระบบสุขภาพ โดยเฉพาะกับการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ได้เกิดการขับเคลื่อน เพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ออกดอกผลเป็นสุขภาพที่ดี และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคน



 

อย่างไรก็ตาม การสานพลังเพื่อส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระดับชุมชนนี้ ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลด้านสุขภาพในการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพในระดับพื้นที่ รวมทั้งการส่งเสริมการใช้องค์ความรู้เข้ามาจัดการสุขภาพอย่างครอบคลุม

 

ความรู้ จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนอายุยืน แต่ก็ต้องใช้กำลังจากทุกภาคส่วนมาร่วมเปลี่ยนแปลง และสร้างองค์ความรู้ให้กับคนในชุมชนอย่างมีส่วนร่วม ซึ่ง สสส.จะให้การสนับสนุน และเดินหน้าให้มีกองทุนส่งเสริมสุขภาพระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดการร่วมกันขับเคลื่อนด้านสุขภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตในระดับพื้นที่อย่างจริงจังตัวแทนจาก สสส. ให้ภาพรวม

 

ในขณะที่มุมมองของภาคการวิจัย ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. ร่วมแลกเปลี่ยนว่า ความรู้ด้านสุขภาพ และการดูแลจัดการสุขภาพเบื้องต้น จะไม่ใช่หน้าที่ของผู้ให้บริการเพียงอย่างเดียว แต่ผู้รับบริการ หรือประชาชน ก็สามารถที่จะมีองค์ความรู้ หรือเข้าถึงเครื่องมือ นวัตกรรม ที่ช่วยให้ดูแลสุขภาพของตัวเอง หรือส่งเสริมป้องกันโรคสำหรับตัวเองได้ด้วย



 

ดังนั้นในส่วนของงานวิจัยในระบบสุขภาพของประเทศ ทาง สวรส. จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนให้นักวิจัย ดำเนินการวิจัยหรือเครื่องมือที่สะท้อนการมีส่วนร่วมของชุมชนและทุกภาคส่วน ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อการรักษาเพียงอย่างเดียว

 

ทพ.จเร ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของเครือข่ายการทำงานด้านสุขภาพ มองว่าทุกเครือข่ายที่เข้ามาร่วมกัน ต่างมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและทำให้คนสุขภาพดีขึ้น หากแต่ปัจจัยสำคัญคือการขับเคลื่อนร่วมกันของภาคีเครือข่ายที่จะต้องมีระบบ และสามารถวิเคราะห์ได้ถึงจุดแข็ง-จุดอ่อนของเครือข่าย พร้อมแสวงหาจุดแข็งเพื่อเติมเต็มกัน

 

มีคนบอกว่างานวิจัยต้องทำโดยนักวิจัย แต่จริงๆ แล้วการทำวิจัยไม่ได้ผูกขาดอยู่ในมือของนักวิจัยเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้การวิจัยได้ด้วยตัวเอง ในการใช้เครื่องมือไปแสวงหาความรู้ที่เป็นกลาง เพื่อผลักดันเครือข่ายของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ หรือบรรลุเป้าหมายร่วมกันผู้จัดการงานวิจัย สวรส. ให้แง่คิด



 

ด้าน ผศ.ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ แลกเปลี่ยนด้วยว่า หากตีความหมายของคำว่าสุขภาพ จะพบว่ามีความหมายที่ครอบคลุมไปถึงทุกมิติในสังคม โดยไม่จำกัดเพียงแค่คำว่ารักษา หรือการให้ยาเพื่อรักษาอีกต่อไป

 

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือเรื่องของสุขภาพ ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ไม่ใช่แค่บุคลากรทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว ดังนั้นย่อมหมายความว่าทุกภาคส่วน จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการสุขภาพ

 

ตัวแทนจาก สช. ระบุว่า การสานพลังของทุกภาคส่วน และนำจุดแข็งแต่ละจุดมาขับเคลื่อนร่วมกัน จะเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยให้เกิดการจัดการสุขภาพในระดับพื้นที่อย่างตรงประเด็น และตรงกับเป้าหมายความต้องการ เพราะการร่วมกันทำงานระหว่างภาคีเครือข่ายต่างๆ ในชุมชน หรือในสังคมนั้น จะสามารถสะท้อนปัญหาและช่วยกันเสนอทางออก รวมถึงเป็นการออกแบบการป้องกันสุขภาพที่ตรงกับบริบทของพื้นที่ ได้อย่างแท้จริง