
พบคนไทยกว่าครึ่งยังมีทัศนคติ 'เลือกปฏิบัติ' ต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี สธ.มุ่งสานพลังกม.-หาทางออก ลดตีตรา 'เอดส์-เพศภาวะ' ในสังคม2 มีนาคม 2565
กรมควบคุมโรค เปิดเวที “สานพลังทางกฎหมาย สร้างเครือข่าย ยุติการเลือกปฏิบัติ” มุ่งหาทางออกลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี-เพศภาวะ
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2565 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข และเครือข่ายภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมเสวนาประเทศไทยสานพลัง มุ่งสู่การยุติการเลือกปฏิบัติ ‘Remove Laws That Harm, Create Laws That Empower’ เนื่องในวันยุติการเลือกปฏิบัติสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคมของทุกปี
สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อรณรงค์และสร้างกระแสสังคม ตามแนวคิด “สานพลังทางกฎหมาย สร้างเครือข่าย ยุติการเลือกปฏิบัติ: Remove Laws That Harm, Create Laws That Empower.” และแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางปฏิบัติ ความก้าวหน้าความท้าทายและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ เอชไอวีและประชากรหลักในทุกรูปแบบ สอดคล้องกับปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยเรื่องเอชไอวีและเอดส์ ปี 2564 ที่มีความชัดเจนในการใช้มุมมองเรื่องความเหลื่อมล้ำ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัญหาการตีตราและเลือกปฏิบัติยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ในการป้องกันและรักษาเอชไอวี และเข้าถึงบริการสุขภาพอื่นๆ รวมทั้งกฎหมายลงโทษต่างๆ ที่นับเป็นอุปสรรคต่อการยุติปัญหาเอดส์
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ในปี 2562 พบว่า 48.6% ยังคงมีทัศนคติการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ในปีเดียวกัน ที่พบว่าประชากรวัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-49 ปี มีทัศนคติการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี 26.70%
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็น 1 ใน 18 ประเทศที่ได้เข้าร่วม Global Partnership for Action เพื่อขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีทุกรูปแบบในทุกๆ พื้นที่ของสังคม ด้วยการสานพลังจากทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม รวมทั้งผลักดันเรื่องนี้อย่างเป็นเอกภาพตามแนวนโยบายระดับชาติที่ชัดเจน ในการลดการตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี โดยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและชุมชนที่มีความเสี่ยงเป็นศูนย์กลาง
"ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาเอดส์ให้ได้ภายในปี 2573 แม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่และลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากเอชไอวี แต่ความท้าทายในการดำเนินงานที่สำคัญในปัจจุบัน คือการรังเกียจกีดกันและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวเนื่องกับเอชไอวีและเพศภาวะ" นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า การเลือกปฏิบัตินั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบ และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพโดยเฉพาะในกลุ่มประชากรหลัก ซึ่งยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นรากฐานในการเชื่อมโยงหลักการดำเนินงานด้านเอดส์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 4 ปรับภาพลักษณ์ ความเข้าใจ เสริมสร้างความเข้มแข็งระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน รวมทั้งกลไกการคุ้มครองสิทธิ
ในส่วนของหลักการดำเนินงาน คือการขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานของรัฐในสถานบริการสุขภาพและชุมชน ในการสร้างความเข้าใจเรื่องการดำเนินงานลดการ ตีตราและเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีเพศภาวะและความเป็นกลุ่มประชากรเปราะบาง
อนึ่ง ภายในเวทีเสวนามีประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย 1. องค์ความรู้และข้อเท็จจริง เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับเอชไอวี 2. การขับเคลื่อนกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติ ต่อบุคคล ภาคประชาชน 3. การทำงานเพื่อลดการตีตราในสถานประกอบการ 4. บทบาทของพนักงานอัยการ ในฐานะที่เป็นกลไกคุ้มครองสิทธิ เพื่อลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี
นอกจากนี้ยังมีเวทีเสียงสะท้อนของประชาชนในเรื่องการตีตราและเลือกปฏิบัติ รวมทั้งกิจกรรมลัดเลาะรอบบ้านซึ่งได้รับความร่วมมือกับเครือข่ายทั่วประเทศ โดยกิจกรรมดังกล่าวมีการถ่ายทอดผ่าน Facebook Live เพจ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อให้กับทุกภาคส่วนได้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกัน