โควิดถ่าง 'ความเหลื่อมล้ำ' รุนแรง ต้องฟื้นฟูจากเศรษฐกิจฐานราก นักการเงินแนะใช้องค์ความรู้ท้องถิ่น เพิ่มศักยภาพชุมชนให้เข้มแข็ง
4 มีนาคม 2565
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

ตัวแทนแบงค์ชาติชี้วิกฤตความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้นเพราะโควิด ย้ำต้องแก้ไขและพัฒนาจากฐานรากในพื้นที่ เผยบทบาท "บพท." แก้ปัญหาระดับชุมชน จับมือสถาบันการศึกษาสร้างกลุ่มอาชีพกว่า 5,600 กลุ่ม


นายจิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในการแถลงข่าวของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ระบุว่าความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการศึกษา อันเนื่องมาจากผลของโควิด-19

ทั้งนี้ จากข้อมูลในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่ามีผู้ว่างงานและเสมือนว่างงาน 3.2 ล้านคน ว่างงานเกินหนึ่งปีจำนวน 1.6 แสนคน และผู้ไม่เคยมีงานทำ 2.7 แสนคน ซึ่งทั้งหมดยังไม่นับรวมถึงแรงงานที่ย้ายถิ่นกลับต่างจังหวัดมากถึง 1.7 ล้านคน

นายจิตเกษม กล่าวว่า ในขณะที่โควิด-19 ยังคงเป็นปัญหาของโลก ประเทศไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ภาคท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศเริ่มมีการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามคาดว่ากว่าจะสามารถฟื้นตัวเต็มที่ได้ในช่วงปลายปี 2566

“สภาพการณ์ต่างๆ กดดันให้ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เพราะนอกจากหนี้ครัวเรือนจะขึ้นถึงระดับ 89.3% ของจีดีพี เมื่อสิ้นปีที่แล้ว โควิดยังทำให้มีความเสี่ยงที่นักเรียน 1.9 ล้านคนจะหลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะความยากจน” ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. ระบุ

นายจิตเกษม กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาควรดำเนินการในแบบ “One Thailand” เพื่อบูรณาการทรัพยากร บุคลากรและความรู้ ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดในแต่ละพื้นที่ โดยสร้างเป็นระบบการทำงานร่วมกันของภาครัฐ เอกชน และชุมชน

นอกจากนี้ประเทศไทยยังจะต้องปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและแรงงาน โดยใช้องค์ความรู้ท้องถิ่นมาเพิ่มศักยภาพของคน ส่งเสริมเศรษฐกิจผู้สูงวัย พัฒนาเศรษฐกิจใหม่บนฐานทุนทรัพยากร Bio-Circular-Green และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งในภาคการค้า อุตสาหกรรม เกษตรและท่องเที่ยว

ด้าน นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า บพท.มีความตระหนักเป็นอย่างดีต่อความสำคัญของการพัฒนาและแก้ปัญหาจากพื้นที่ จึงร่วมกับสถาบันการศึกษา 99 แห่งทั่วประเทศ ร่วมคิด ร่วมทำกับชุมชนในการแก้ปัญหาปัจจุบันพร้อมกับสร้างรากฐานเพื่อการพัฒนาในอนาคต

“ความเหลี่อมล้ำเป็นประเด็นปัญหาที่ฝังรากลึกในไทยมายาวนาน เราจึงต้องการแนวทางการแก้ไขแบบใหม่ให้ได้ผลกว่าเดิม ซึ่งก็คือการใช้ความรู้และการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ซึ่ง บพท.พิสูจน์แล้วว่าได้ผลน่าพอใจ เพราะมีการทำงานครอบคลุมทั้งระดับครัวเรือน ชุมชนและระดับเมือง” ผู้อำนวยการ บพท. กล่าว

นายกิตติ กล่าวว่า บพท.ได้ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อพัฒนาระดับพื้นที่ โดยยึดโยงกับยุทธศาสตร์สำคัญสามด้าน คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาคนและกลไกจากฐานทุนทรัพยากรพื้นถิ่นและทุนทางวัฒนธรรม ยุทธศาสตร์พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ และยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองน่าอยู่และเมืองแห่งการเรียนรู้ 

ขณะเดียวกัน ผลจากการดำเนินงานของ บพท. ที่ร่วมกับสถาบันการศึกษา ราชการ และชุมชน ในด้านเศรษฐกิจฐานราก ทำให้ชุมชนเกิดความรู้และเข้มแข็ง เกิดการพัฒนากลุ่มอาชีพได้มากถึง 5,600 กลุ่ม เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเพื่อให้เขาสามารถเริ่มต้นพัฒนาตนเองได้ มีความรู้ใหม่ และมีนวัตกร หรือผู้นำท้องถิ่นที่จะทำให้ชุมชนของเขายั่งยืนต่อไปในอนาคต

พร้อมกันนี้ งานวิจัยที่ บพท.สนับสนุนยังสามารถค้นพบคนยากจนที่หลุดจากระบบความช่วยเหลือของรัฐได้กว่า 8 แสนคน ใน 20 จังหวัด ซึ่งได้รับความช่วยเหลือไปแล้วกว่า 6 แสนคน ในขณะที่การพัฒนาในระดับเมือง ได้ส่งเสริมการรวมตัวในพื้นที่ขึ้นเป็น "บริษัทพัฒนาเมือง" แล้ว 19 แห่ง อันเป็นกลไกการพัฒนาที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมวางแนวทางอนาคตของตนเอง เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ 18 พื้นที่ และเกิดกลไกบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 61 กลไก

นายกิตติ กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ของ บพท. พบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นได้จริงๆ ถ้าเริ่มจากกระบวนการมองปัญหาและเริ่มการแก้ไขจากพื้นที่ของปัญหานั้นๆ เพราะเจ้าของปัญหาลงมือทำเอง โดยมีความรู้และพี่เลี้ยงจากสถาบันการศึกษา

ผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่า สำหรับแนวทางในอนาคต บพท.จะต่อยอดกระบวนการทำงานดังกล่าวให้ตอบความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น เช่น ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อยกระดับสมุนไพรไทย งานวิจัยการสร้างเศรษฐกิจใหม่บนฐานทรัพยากรอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

“ทุนวิจัยในอนาคตจะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เชื่อมโยงการยกระดับชุมชนให้มาช่วยยกศักยภาพของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่มีโอกาสสูง เช่น การที่ไทยเสียดุลนำเข้าผลิตภัณฑ์สมุนไพรนับหมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งที่เรามีสมุนไพรอยู่ทั่วประเทศ งานวิจัยจะเข้ามาช่วยชุมชน สังคมและประเทศ” นายกิตติ กล่าว