เสนอ 'รวมระบบหลักประกันสุขภาพ' ไม่แยก 'คนไทย-แรงงานข้ามชาติ' นักวิชาการยกบทเรียนจากโควิด ชี้เป็นภาระงบประมาณ-การคุมโรค
7 มีนาคม 2565
! Font Awesome Pro 6.0.0 by @fontawesome - https://fontawesome.com License - https://fontawesome.com/license (Commercial License) Copyright 2022 Fonticons, Inc.

นักวิชาการเสนอรวบ "ระบบหลักประกันสุขภาพ" ให้รองรับทั้งคนไทย-ต่างชาติ แก้ปัญหาการเข้าถึงบริการของแรงงานข้ามชาติ ยกบทเรียนจากโควิด-19 ชี้เป็นภาระทางการเงิน-การควบคุมโรค


น.ส.ศยามล เจริญรัตน์ อาจารย์และนักวิจัยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยเวทีเสวนาออนไลน์ “สถานการณ์แรงงานต่างชาติในยุคโควิด-19” ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดโดยศูนย์อาเซียนศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2565 ตอนหนึ่งว่า ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทย และชาวต่างชาติ ไม่ควรสร้างให้แยกระบบกัน เพราะว่าสิ่งที่ตามมาเมื่อทำแยกระบบกันคือการเสียค่าใช้จ่ายอีกจำนวนมาก ในการสร้างขึ้นมาอีกระบบหนึ่งเพื่อรองรับ

น.ส.ศยามล กล่าวว่า สำหรับระบบหลักประกันสุขภาพของแรงงานข้ามชาติ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน คือ 1. บัตรประกันสุขภาพ ที่ต้องซื้อในราคา 1,600 บาทต่อปี 2. ระบบประกันสังคม ซึ่งหากพิจารณาจาก 2 ส่วนดังกล่าวจะพบได้ว่าบัตรประกันสุขภาพ และประกันสังคม มีราคาค่อนข้างแพงหากเทียบกับรายได้ที่แรงงานข้ามชาติได้รับ

"ด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง จึงเป็นไปได้มากที่จะทำให้แรงงานข้ามชาติตัดสินใจไม่ซื้อในส่องส่วนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแบกรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งเมื่อไม่ซื้อ ผลกระทบจากกรณีช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาคือได้ทำให้ประเทศเกิดภาระทางการคลังที่มากขึ้นในการดูแลแรงงานข้ามชาติ เนื่องจากไม่สามารถให้สิทธิแรงงานข้ามชาติในการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพตั้งแต่แรก" น.ส.ศยามล กล่าว

น.ส.ศยามล กล่าวว่า ฉะนั้นคำถามสำคัญที่ควรร่วมกันคิดต่อหลังจากนี้คือ จะทำอย่างไรให้ระบบหลักประกันสุขภาพ สามารถรองรับได้ทั้งคนไทย และคนต่างชาติ รวมถึงคนอื่นๆ ที่อยู่ในแผ่นดินไทย สามารถมีสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีได้ในอนาคต

น.ส.ศยามล กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องสิทธิการเข้าถึงสุขภาพของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยยังมีอีกมากมาย เช่น การไม่มีนโยบายเรื่องแรงงานข้ามชาติในระดับชาติ ขาดการบูรณาการนโยบายทั้งจากประเทศต้นทางรวมกับประเทศปลายทาง การเข้าไม่ถึงระบบประกันสุขภาพ หรือระบบประกันสังคม อีกทั้งกองทุนประกันสุขภาพของแรงงานข้ามชาติมีขนาดเล็ก และไม่มั่นคง เป็นต้น

ทั้งนี้ หากดูจากสถิติแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศไทยผ่านกฎหมายต่างๆ ในปี 2564 มีจำนวนมากถึงกว่า 2 ล้านคน แต่ได้รับระบบความคุ้มครองด้านสุขภาพจากบัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว (HIC) เพียงจำนวนกว่า 9 แสนคน แสดงให้เห็นว่ามีแรงงานต่างชาติจำนวนมากที่หลุดจากระบบการคุ้มครองด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้อาจยังไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด เนื่องจากบางข้อมูลมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา เช่น ข้อมูลจากประกันสังคม มาตรา 33

ในส่วนของการสำรวจข้อมูลแรงงานข้ามชาติในปี 2564 พบว่า จำนวน 52% ไม่มีประกันสังคม 43% ไม่รู้จักว่าประกันสังคมคืออะไร และ 43% ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแรงงานข้ามชาติเลย โดยในส่วนของแรงงานที่ไม่มีระบบคุ้มครองใดๆ ในช่วงโควิด-19 ซึ่งสูงถึง 92% ในจำนวนนี้ให้เหตุผลว่า ไม่รู้จักกับระบบประกันสุขภาพ 85% ไม่รู้ภาษาไทย 11% มองว่าเอกสารมีมากและกระบวนการซับซ้อน 4% และแบบฟอร์มเอกสารออนไลน์มีแต่ภาษาไทยอีก 2%

ด้าน นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ กล่าวว่า ช่วงโควิด-19 ระลอกแรกที่มีการปิดกิจการลงในหลายแห่ง ทำให้แรงงานข้ามชาติขาดรายได้ในการใช้จ่าย จึงมีแรงงานหลายคนต้องขอไปอาศัยรวมอยู่กับคนอื่นๆ เช่น บางกรณีอยู่รวมกันในห้องเช่าถึง 10 คน ก็ทำให้ขณะนั้นเกิดความกังวลว่าแรงงานข้ามชาติส่วนนี้จะกลายเป็นคลัสเตอร์ของการเกิดโควิดขึ้น

"ส่วนการเข้าถึงระบบการตรวจคัดกรอง ในช่วงหนึ่งจะมีรถที่คอยเป็นจุดบริการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ แต่มีการประกาศออกลำโพงว่าจะตรวจให้เฉพาะคนที่มีสัญชาติไทย ดังนั้นเมื่อแรงงานข้ามชาติติดโควิด ก็ไม่สามารถเข้ารับการรักษาตามระบบที่โรงพยาบาลได้ เนื่องจากเงื่อนไขของการเข้ารับรักษา คือการมีผลตรวจจากจุดคัดกรอง" นายอดิศร กล่าว